Main Idea
- โลกแฟชั่นกำลังเปลี่ยนไปเพราะคำว่า Disruption! เมื่อวันนี้ด้วยพลังของเทคโนโลยีและดิจิทัลกำลังเข้ามาพลิกโฉมธุรกิจแฟชั่นให้ต่างไปจากเดิม
- ที่ผ่านมาดีไซเนอร์อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนในการผลิตผลงานดีๆ ออกมาสักคอลเลกชัน นั่นเองที่ทำให้ไม่สามารถออกผลงานได้อย่างทันท่วงที กลายเป็นความล่าช้าของการทำธุรกิจแฟชั่นให้ทันใจผู้บริโภคยุคนี้
- การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย จะให้กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจแฟชั่นสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างรวดเร็ว และเก๋ไก๋กว่าเดิม ทั้งยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยไม่ต้องปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองอีกต่อไป
เพราะกระแสของ Disruption ไม่ได้ถูกพูดถึงเพียงแค่ในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งอีกต่อไป แต่การปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่ที่ต้องมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจนั้นกำลังเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ในทุกอุตสาหกรรม แม้กระทั่งวงการแฟชั่น ที่ต้องเร็วและใหม่กว่าใครเพื่อน
แต่เดิมการสร้างคอลเลกชันเสื้อผ้าของเหล่าดีไซเนอร์มักจะใช้กรอบเวลาหลายเดือนกว่าที่จะผลิตผลงานสักหนึ่งคอลเลกชันออกสู่สายตาชาวโลก นอกจากนี้ยังต้องมีการผลิตในจำนวนค่อนข้างมากเพื่อให้คุ้มค่าแก่การผลิตในแต่ละครั้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองที่อาจกลายเป็นกำแพงปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของดีไซเนอร์ในการผลิตผลงานได้อย่างทันท่วงที อีกทั้งยังกลายเป็นความล่าช้าของการทำธุรกิจแฟชั่นในยุคนี้อีกด้วย
หนึ่งในเครื่องมือล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวสดๆ ร้อนๆ จากผู้นำด้าน Computing และ Printing อย่าง บริษัทเอชพี อิงค์ (ประเทศไทย) จำกัด นั่นคือ HP STITCH S ที่จะเข้ามาตอบโจทย์กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจแฟชั่นให้สร้างสรรค์ผลงานได้ Fast และเก๋ไก๋กว่าเดิม ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยไม่ต้องปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองอีกต่อไป
ปวิณ วรพฤกษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอชพี อิงค์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้พูดถึงการปรับตัวของธุรกิจแฟชั่นในยุค Disruption ว่าธุรกิจเองต้องมองเรื่องของการใช้เทคโนโลยีเข้ามาเสริมแกร่งธุรกิจพร้อมทั้งนำเทคโนโลยีเพื่อมาตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในโลกปัจจุบัน
“เทรนด์โลกและประเทศไทยตอนนี้พูดถึงเรื่อง Digital Disruption รัฐบาลเองก็พยายามที่จะผลักดันให้เกิด Thailand 4.0 แต่จะทำอย่างไรให้เกิดขึ้นจริงได้ด้วยเทคโนโลยี? หลายคนมองว่าเครื่องพิมพ์ทำอะไรได้บ้าง แค่พิมพ์ออกมาอย่างเดียวหรือเปล่า แต่รู้ไหมยุคนี้เครื่องพิมพ์สามารถสร้างสิ่งที่เรียกว่า Customization ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ให้กับสินค้าได้ เพราะเทรนด์ของผู้บริโภคปัจจุบันต้องการสินค้าและบริการที่ตอบสนองแบบเฉพาะบุคคล ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ตราสินค้าต่างๆ เมื่อเรา สามารถออกแบบเฉพาะให้เข้ากับลูกค้าได้ก็จะช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับสินค้า นอกจากนี้ปัจจุบันเครื่องพิมพ์ผ้ายังช่วยตอบโจทย์เรื่องของการประหยัดต้นทุนได้อีกด้วย เพราะแค่พิมพ์เพียงชิ้นเดียวก็สามารถทำได้แล้ว ไม่ต้องทำในปริมาณที่มากอีกต่อไป”
สำหรับ HP STITCH S เครื่องพิมพ์ผ้าในระบบดิจิทัลที่มีความล้ำสมัย ใช้งานง่าย คุณภาพสูง ใช้พิมพ์ผ้าในจำนวนน้อยๆ ได้ด้วยตนเอง ต่างจากเครื่องพิมพ์ในยุค Analog ที่ต้องการ Volume เยอะๆ ถึงจะคุ้มค่าในการพิมพ์แต่ละรอบ ในอดีตการจะสร้างคอลเลกชันใหม่แต่ละทีจึงต้องลงทุนสูง ใช้เวลานาน แต่สำหรับยุคนี้ผู้ประกอบการสายแฟชั่นสามารถพิมพ์ผ้าลายที่ตัวเองดีไซน์ได้อย่างรวดเร็วในเวลาแค่วันเดียว แถมตัวเครื่องยังสามารถเก็บข้อมูลการพิมพ์ได้ด้วยว่าสีที่คุณต้องการคือสีอะไร หากว่าคุณพิมพ์ครั้งต่อไปก็สามารถเลือกพิมพ์สีเดิมได้โดยไม่ผิดเพี้ยน
“ผมมองว่า Fashion มันคือเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก (Emotion) ถ้าคุณยิ่ง Customize ยิ่งมี Story ให้แบรนด์ได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งช่วยสร้างคุณค่าได้มากขึ้น ยิ่งผลิตสินค้าเป็นรุ่น Limited Edition รุ่น Special Collection ได้ ก็จะยิ่งสร้างมูลค่าเพิ่มและขายในราคาที่สูงขึ้นได้ เพราะว่าคุณทำของที่แตกต่างไม่เหมือนใคร เมื่อก่อนถ้าดีไซเนอร์จะผลิตคอลเลกชันใหม่ออกมา เขาต้องเริ่มจากวาดออกมาก่อน ออกแบบเสร็จแล้วก็ไปที่โรงพิมพ์ผ้าทั่วไป และต้องผลิตในปริมาณเยอะๆ แล้วถ้าออกคอลเลกชันบ่อยก็มีต้นทุนที่สูง และใช้เวลาในการพัฒนาค่อนข้างนาน แต่สำหรับแฟชั่นยุคนี้ต้องเร็ว ความเร็วคือหัวใจสำคัญของแฟชั่น เพราะถ้ารอนานก็เอาต์ แป๊ปเดียวก็หายไป ผมมองว่า ยุคนี้เรื่องของการแข่งกันที่ปริมาณมันหมดไปแล้ว เมื่อก่อนใครที่ผลิตได้เยอะก็จะได้เปรียบเรื่องการแข่งขัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะยุคนี้ลูกค้ามีความหลากหลาย พฤติกรรมก็เปลี่ยนไป เขายอมจ่ายแพงขึ้น ในแง่ของประชากรคนที่มีเงินก็จะยิ่งมีเงินมากขึ้น ทำให้เกิด Segment ที่หลากหลายจากพรีเมียมก็เป็นซูเปอร์พรีเมียม พอเป็นแบบนี้ทุกคนก็ต้องใช้ดิจิทัลเข้ามาใช้ Disrupt คู่แข่งให้ได้” เขาบอก
ปวิน กล่าวปิดท้ายว่า ธุรกิจขนาดเล็กในยุคนี้สามารถแข่งขันกับธุรกิจไซส์ใหญ่ได้ เพราะโอกาสในการเข้าถึงเครื่องมือ แม้แต่การใช้สื่อก็มีเท่ากัน จากเมื่อก่อนที่ธุรกิจใหญ่เท่านั้นถึงจะลงโฆษณาได้ แต่วันนี้เรามี Social Media เข้ามา ทำให้ไม่ว่าใครก็สามารถสร้างแบรนด์ ซื้อโฆษณา และสร้าง Story ของตัวเองเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ ฉะนั้นการใช้ดิจิทัลจึงเป็นเครื่องมือสร้างความได้เปรียบของ SME ในวันนี้
เมื่อโลกเปลี่ยนไป ธุรกิจก็ต้องปรับตาม การใช้ดิจิทัลและเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนารูปแบบธุรกิจจะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและทำให้คุณนำหน้าคู่แข่งอยู่เสมอ
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี