Main idea
- เมื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโลก แต่ยังมีข้อจำกัดอีกหลายด้าน เช่น การใช้เทคโนโลยี การจัดการระบบหลังบ้าน การบริหารจัดการเวลา การหาพนักงานที่ใช่ ฯลฯ เข้ามาเป็นอุปสรรคของการเติบโต
- ซึ่งการใช้โซเชียลมีเดีย เครื่องมือดิจิทัลและบริการบนคลาวด์ จะเข้ามาช่วยยกระดับขีดความสามารถของผู้เล่นรายเล็กให้แข่งขันกับผู้เล่นรายใหญ่ในยุคปัจจุบันได้
อย่างที่ทราบกันดีว่าในการทำธุรกิจนั้นไม่มีที่ยืนให้กับผู้ที่ไม่พร้อม โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการรายเล็กที่ไม่เพียงแต่จะต้องแข่งขันกันเอง แต่ยังต้องเปิดศึกข้ามรุ่นไปท้าชนกับผู้เล่นรายใหญ่อีกด้วย แม้บางรายจะได้ไปต่อ แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่ล้มหายกันไปกลางทาง
อย่างไรก็ตาม จากผลสำรวจของ The State of Small Business Global Report ซึ่งจัดทำโดย TradeGecko บริษัทด้านเทคโนโลยีและวางแพลตฟอร์มบนคลาวด์ และบริษัทให้คำปรึกษาชั้นนำ Golfdale Consulting ระบุว่า ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กว่า 80 เปอร์เซ็นต์นั้นมีรายได้ที่คงที่หรือเพิ่มขึ้นในปี 2561 แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันกับคู่แข่งทั่วโลก นอกจากนี้ ยังเรียกได้ว่าเป็นภาคธุรกิจที่เปรียบเสมือนเลือดที่คอยหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนบริษัททั้งหมด และ 60 – 70 เปอร์เซ็นต์ของการจ้างงานทั้งหมด
โดยรายงานดังกล่าวนั้นมาจากการสำรวจผู้ประกอบการขนาดเล็กและกลาง 573 รายใน 24 ประเทศทั่วโลก รวมถึง 383 รายในสหรัฐอเมริกา เพื่อยกระดับความท้าทายและโอกาสสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่งโดยรวมแล้วธุรกิจขนาดเล็กที่ทำการสำรวจมีการจ้างพนักงาน 107,000 คน และขายผลิตภัณฑ์ได้ 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐในปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังทำการขยายตลาดจากสหรัฐอเมริกาไปยังออสเตรเลีย ขยายประเภทการทำสินค้าจากแฟชั่นไปยังฟิตเนส และเติบโตจากการเป็นธุรกิจหน้าใหม่ไปสู่ธุรกิจระดับหลายล้านเหรียญสหรัฐ
ทาง Cameron Priest ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ TradeGecko ได้กล่าวว่า “ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมนั้นต้องเจอกับมวยคนละรุ่นเมื่อเข้าสู่สังเวียนการแข่งขันในตลาดโลก ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่พรั่งพร้อมไปด้วยทีมงานและงบประมาณจำนวนมาก แต่เมื่อธุรกิจ SME มีการเติบโตก็จะต้องเจอเรื่องของการดำเนินการและกระบวนการทำงานที่เป็นแบบ Manual เข้ามาเป็นประเด็นอีก ซึ่งการเสนอบริการบนคลาวด์ ใช้โซเชียลมีเดียและช่องทางดิจิทัลจะเข้ามาช่วยยกระดับทุกด้านของการทำธุรกิจได้ ไม่ว่าจะเป็นการตลาด การบัญชี การขาย การทำเงินเดือน และการจัดการสินค้าคงคลังและการสั่งซื้อ”
โดยผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจขนาดเล็กที่ใช้หลักการทำงานแบบอไจล์ (Agile) นั้น มีความเข้าใจและเชี่ยวชาญในระบบดิจิทัลสูง และยังใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดียและเทคโนโลยีในการยกระดับขีดความสามารถและทำการตลาดเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งรายใหญ่ ซึ่งธุรกิจที่มีมูลค่าน้อยกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐจะอาศัยการตลาดแบบบอกต่อหรือ Word of Mouth ในการสร้างการรับรู้ให้กับตัวผลิตภัณฑ์เป็นหลัก โดยเฉพาะเฟซบุ๊ก (74 เปอร์เซ็นต์) และอินสตาแกรม (43 เปอร์เซ็นต์) ที่ถือเป็นช่องทางหลักของการใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
และเมื่อธุรกิจ SME มีการเติบโตมากขึ้น ก็จะอาศัยการผสมผสานช่องทางที่กว้างหรือหลากหลายมากขึ้นในการทำการตลาด ไม่ว่าจะเป็นการมีหน้าร้าน การขายด้วยตัวเอง ใช้ผู้ค้าส่งและผู้แทนจำหน่าย ซึ่งบริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐจะใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่น ทวิตเตอร์ (37 เปอร์เซ็นต์) ยูทูบ (37 เปอร์เซ็นต์) และลิงค์อิน (36 เปอร์เซ็นต์) ในการโปรโมทแคมเปญต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ธุรกิจ SME ทำการปรับตัวในการใช้เทคโนโลยีเพื่อทำการตลาด ระบบการทำงานหลายอย่างกลับเป็นตัวฉุดรั้งความเจริญก้าวหน้าของบริษัท เห็นได้จากเกือบหนึ่งในสี่ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ยังคงใช้ปากกาและกระดาษสำหรับการจัดการสินค้าคงคลัง และอีก 31 เปอร์เซ็นต์ที่ใช้โปรแกรมการคำนวณแบบสเปรดชีต
นอกจากนี้ ธุรกิจที่มีมูลค่าน้อยกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ยังใช้เวลาโดยเฉลี่ยกว่า 90 ชั่วโมงต่อเดือนในการจัดการกับระบบหลังบ้าน เช่น การจัดการการสั่งซื้อและสินค้าคงคลังและการจัดหาผลิตภัณฑ์ แม้กระทั่งธุรกิจที่มีขนาดใหญ่กว่าหรือมีมูลค่ามากกว่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ ยังคงพึ่งพากระบวนการแบบ Manual ในการทำงาน โดยมีรายงานว่ามากกว่าครึ่งนั้นยังคงใช้สเปรดชีตในการจัดการข้อมูล ในส่วนของการสต๊อกสินค้า 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าร่วมทำการสำรวจนั้นมีประสบการณ์ 'ของหมดสต๊อก' หรือ 'ของล้นสต็อก' เป็นประจำ
แม้การแข่งขันที่รุนแรง (31 เปอร์เซ็นต์) จะยังคงเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้ก่อตั้งธุรกิจ แต่แรงกดดันในการดำเนินธุรกิจในแต่ละวันนั้นก็สร้างผลกระทบให้เช่นเดียวกัน ซึ่งการมีเวลาไม่พอ (27 เปอร์เซ็นต์) การจ้างพนักงานที่ใช่ (26 เปอร์เซ็นต์) และปัญหาในการดำเนินงาน (21 เปอร์เซ็นต์) ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่นักธุรกิจให้ความเห็นว่าเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เจ้าของกิจการยังต้องการใช้เวลาในด้านการตลาด การขายและการพัฒนาผลิตภัณฑ์มากขึ้นอีกด้วย
ดังนั้น การที่ผู้ประกอบการรายเล็กจะลุกขึ้นมาแข่งขันและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเองในยุคนี้ได้ ต้องไม่มองข้ามการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ซึ่งไม่ใช่แค่ช่วยในการขายโปรดักต์เท่านั้น แต่ยังช่วยในการสร้างระบบการดำเนินการที่สามารถปรับขนาดได้เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต รวมไปถึงเครื่องมือทางออนไลน์ที่จะเข้ามาช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางมีพลังมากขึ้นเมื่อต้องทำการแข่งขันกับคู่แข่งรายใหญ่ อีกทั้งยังจะช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถทำในสิ่งที่ทำได้ให้ออกมาดีที่สุดและสร้างธุรกิจที่น่าทึ่งได้
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี