การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยของหลายประเทศในเอเชียโดยเฉพาะญี่ปุ่น และจีนกำลังเป็นปัจจัยที่เร่งให้เกิดการเติบโตในหลายธุรกิจ หนึ่งในนั้นคือ medtech หรือเทคโนโลยีทางการแพทย์ รวมถึงนวัตกรรมที่เกี่ยวกับด้านสุขภาพโดยมีหุ่นยนต์ทางการแพทย์เป็นนวัตกรรมหลักช่วยส่งเสริม ไปดูสภาพสังคมแต่ละประเทศในเอเชียกันก่อน เริ่มที่ญี่ปุ่น ประเทศที่มากกว่า 1 ใน 4 ของประชากรมีอายุเกิน 65 ปี ส่วนจีนและเกาหลีใต้กำลังเริ่มเข้าสู่สภาพการณ์เดียวกับญี่ปุ่น
บริษัทวิจัยแมคคินซีย์คาดการณ์ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะแซงหน้ายุโรปและกลายเป็นตลาด medtech ที่ใหญ่สุดเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐฯ โดยคาดว่าปี 2020 ธุรกิจ medtech ในเอเชียแปซิฟิกจะมีมูลค่า 133,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่บริษัทสแททิสต้าประเมินตลาดอุปกรณ์การแพทย์เอเชียแปซิฟิกจะมีมูลค่าราว 68,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนบริษัทวิจัยตลาดเอ็นเนอร์เจียสมองว่าอุตสาหกรรม medtech ในตลาดโลกในส่วนของหุ่นยนต์การแพทย์ที่มีมูลค่า 6,800 ล้านดอลลาร์ในปี 2017 จะเติบโตเพิ่มมูลค่าเป็น 21,500 ล้านดอลลาร์ในปี 2024
เจนิซ เจีย กรรมการผู้อำนวยการและผู้ก่อตั้งบริษัทเอจจิ้ง เอเชีย ที่ปรึกษาธุรกิจกล่าวว่านวัตกรรมใหม่ ๆ เช่นเครื่องมือที่ใช้มอนิเตอร์ทางการแพทย์ และเทคโนโลยีช่วยงานอย่างหุ่นยนต์จะทำให้บรรดาผู้สูงวัยใช้ชีวิตอย่างอิสระได้ยืนยาวขึ้น ทั้งนี้ รายได้ที่สูงขึ้น ความใส่ใจในสุขภาพที่มากขึ้น และการแพร่หลายของโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคระบบกล้ามเนื้อและกระดูกที่มาพร้อมกับประชากรสูงวัยทำให้ผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขในเอเชียต้องหันมาพึ่งพาเครื่องทุ่นแรงเพื่อรองรับความต้องการใช้บริการที่เพิ่มขึ้น
ญี่ปุ่นเป็นหัวหอกนำทีมการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ โดยกระทรวงอุตสาหกรรม การค้า และเศรษฐกิจของญี่ปุ่นประเมินหุ่นยนต์ผู้ช่วยมีแนวโน้มจะมีบทบาทสูงขึ้นในการดูแลผู้สูงวัย และส่งผลให้ตลาดหุ่นยนต์ญี่ปุ่นเติบโตมีมูลค่า 400,000 ล้านเยนหรือราว 120,000 ล้านบาท หุ่นยนต์ผู้ช่วยที่นำมาใช้ในงานมีหลายแบบ ตั้งแต่ช่วยดูแลผู้สูงวัยอยู่เป็นเพื่อนเสมือนคนจริง ๆ ไปจนถึงหุ่นยนต์ใช้งานด้านการแพทย์ ข้อดีของหุ่นยนต์คือขีดความสามารถในการทำงานแบบทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถสั่งงานได้แบบอัตโนมัติ เหล่านี้ช่วยเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยเป็นอย่างดี
นอกจากนั้น หุ่นยนต์ผู้ช่วยยังเอื้อให้ผู้สูงวัยพึ่งพาผู้อื่นน้อยลง อย่างหุ่นยนต์ “Hug” ที่ผลิตโดยบริษัทฟูจิ แมชีน แมนูแฟคเจอริ่งมีคุณสมบัติสามารถพยุงผู้สูงวัยให้ลุกยืนและประคองจากเตียงไปยังเก้าอี้ล้อเข็นได้ หรือบริษัทอินโนฟิสที่ผลิตชุดที่เมื่อสวมใส่จะช่วยพยุงกระดูกและทำให้ผู้สูงวัยมีเรี่ยวแรงมากขึ้นในการทำกิจกรรม
ส่วนที่จีน ประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับหนึ่งของโลกเกือบ 1,400 ล้านคน สัดส่วนของประชากรที่มีอายุมากกว่า 65 ปีอยู่ที่ราว 10% ของจำนวนดังกล่าว รัฐบาลจีนได้ประกาศนโยบายและโครงการสนับสนุนนวัตกรรมด้านการแพทย์ มีการลงทุนในด้านนี้มากมาย จากที่โดดเด่นในด้านหุ่นยนต์บริการอยู่แล้ว เชื่อว่าจีนจะเป็นอีกตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจหุ่นยต์ผู้ช่วยทางการแพทย์ โดยจีนอาจเน้นการพัฒนาหุ่นยนต์ช่วยงานผ่าตัด หุ่นยนต์ช่วยฟื้นฟู (กายภาพบำบัด) และหุ่นยนต์จ่ายยา เป็นต้น
รายงานระบุจีนเป็นตลาด medtech ใหญ่อันดับ 3 ของโลกรองจากญี่ปุ่น คาดว่าราวปี 2020 จีนอาจแซงหน้าญี่ปุ่น แม้ความต้องการเครื่องทุ่นแรงสำหรับผู้สูงวัยทั้งสองตลาดจะเพิ่มขึ้น แต่การขับเคลื่อนของภาคธุรกิจ medtech ของญี่ปุ่นกับจีนไม่เหมือนกัน ญี่ปุ่นได้แรงกระตุ้นจาก ”อาเบะโนมิกส์” หรือระบบการบริหารเศรษฐกิจสไตล์นายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ ที่พัฒนาธุรกิจนี้เพื่อผลักดันเศรษฐกิจประเทศให้เติบโต ขณะที่จีนนั้น โอกาสในการขยายตัวของอุตสาหกรรม medtech มีมากกว่าเมื่อเทียบกับญี่ปุ่น โดยเป็นผลจากการปฏิรูปนโยบายสาธารณสุขของรัฐ
อย่างไรก็ตาม ยังมีบางปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม medtech ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโดยรวม อาทิ ผู้ผลิตสินค้าเกี่ยวกับ medtech ยังโฟกัสที่ผลิตภัณฑ์ระดับบน ทำให้เจาะตลาดทั่วไปไม่ได้ นอกจากนั้น หลายบริษัทในประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการจับธุรกิจนี้ยังขาดแคลนเงินทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบางประเทศระบบโครงสร้างพื้นฐานไม่พร้อม ทำให้ไม่สามารถใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ หากอุปสรรคต่าง ๆ ได้รับการแก้ไข เชื่อว่าตลาด medtech ในภูมิภาคนี้มีโอกาสเฟื่องฟูแน่นอน
อ้างอิง
https://kr-asia.com/ageing-asia-spurs-rise-in-assistive-robots-tele-healthcare
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี