มีกระแสที่เกิดขึ้นหนาหูในช่วงที่ผ่านมาถึงการที่หลายธุรกิจได้เริ่มนำปัญญาประดิษฐ์หรือ A.I. มาใช้ในการ ทำงาน หลายองค์กรเริ่มลดจำนวนพนักงานลง แม้แต่แบงก์ขนาดใหญ่ยังลดสาขาลง เพราะผู้คนหันไปทำธุรกรรมบนโลกออนไลน์กันหมด เห็นอย่างนี้หลายคนคงนึกกลัวว่าเจ้าหุ่นยนต์หรือ A.I. จะเข้ามาแย่งงานจริงหรือเปล่า งานอะไรบ้างที่จะ ลดลง A.I. กำลังจะครองโลกจริงมั้ย แล้วเราจะทำอย่างไรกันต่อไป? มีหลายคำถามผุดขึ้นมา จนต้องพาทุกคนไปหาคำตอบกับชายหนุ่มที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย “พลเดช อนันชัย” ผู้ที่คร่ำหวอดอยู่ในโลกแห่งการเงิน และล่าสุดเขาได้เปิดตัว CryptovationX หุ่นยนต์ที่ปรึกษาแบบครบวงจรสำหรับนักลงทุน Blockchain
“CryptovationX มีวิสัยทัศน์ คือต้องการใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ เพื่อให้บริการหุ่นยนต์ที่ปรึกษาการลงทุนแบบครบวงจรในวงการ Blockchain ต้องบอกก่อนว่าหุ่นยนต์ที่ปรึกษาการลงทุนไม่ใช่สิ่งใหม่แต่เกิดมาเป็น 10 ปีแล้ว อย่างตลาดหุ้นที่มีเสถียรภาพสูงแบบเก๋าๆ เช่นในอเมริกา 80% ก็ใช้หุ่นยนต์ในการเทรด เราก็อาศัยเอาองค์ความรู้ เดิมที่มีอยู่ในโลกการเงิน ประสบการณ์ของผมที่อยู่ในวงการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ตลาดหุ้นต่างๆ มาประยุกต์ใช้ในตลาด Blockchain เพราะว่าตลาดนี้มีความผันผวนสูง ถ้าไม่มีผู้ช่วยในการให้ความรู้ แนะนำการลงทุนก็จะมีความเสี่ยง”
เมื่อ A.I. อยู่ในชีวิตประจำวันแบบไม่รู้ตัว
ไม่เพียงแต่โลกของการเงินที่มีการใช้ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุน แต่หุ่นยนต์ต่างๆ แทรกซึมอยู่ทุกอณูของชีวิตประวันในยุคนี้ เช่น การมองเห็นโฆษณาบนโลกออนไลน์
“ตอนนี้พวกหุ่นยนต์มีบทบาทในชีวิตของคนเรามาก หลายคนคิดว่าหุ่นยนต์จะต้องเป็นหุ่นจริงๆ ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะมันอาจจะเป็นแค่ซอฟแวร์ที่ไว้ช่วยจัดการปัญหาต่างๆ ตอนนี้หุ่นยนต์ A.I. อยู่รอบตัวเรา เช่น เวลาเราเข้าเว็บไซต์ แต่ละคนจะมีการเห็นโฆษณาต่างกัน ใครชอบเรื่องเครื่องสำอางก็จะเห็นเครื่องสำอางเยอะ ใครชอบกินก็จะเห็นอาหาร คนที่เลือกว่าเราจะเห็นโฆษณาอะไรแท้จริงแล้วคือหุ่นยนต์ ที่คอยเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลแต่ละคนและเลือกว่าจะส่งโฆษณาอะไรให้ใครดู”
นอกจากนี้ A.I. กำลังคืบคลานมาทำงานแทนมนุษย์มากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นความฉลาดของมนุษย์ที่พัฒนาหุ่นยนต์ออกมาเพื่อลดกระบวนการทำงานบางอย่างของมนุษย์ลงอีกทั้งยังแก้ปัญหา Human Error ได้อีกด้วย
“ตอนนี้หุ่นยนต์ก็เริ่มลามไปสู่อะไรที่เป็น Professional หรืออาชีพมากขึ้น เช่น ทนายแพง ก็มีการพัฒนาหุ่นยนต์ที่เก็บข้อมูลการฟ้องร้องทั่วโลกเยอะที่สุดเอาไว้ พอมีเคสใหม่เกิดขึ้น หุ่นยนต์ก็จะว่าความหรือสามารถเขียนสำนวนอะไรก็ได้ มีทั้งหุ่นยนต์ที่เขียนข่าวแทนนักข่าว หุ่นยนต์แต่งเพลง แต่งนิยาย ในวงการแพทย์ก็มี IBM Watson เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่ช่วยหมอในการวินิจฉัยว่าคนไข้เป็นโรคอะไรเพราะว่าจะมี Big Data ในการวิเคราะห์โรค อะไรพวกนี้มันเริ่มเขยิบจากเว็บไซต์ออกมาเป็นอะไรที่ซีเรียสมากขึ้น”
ถ้า A.I. ทำงานแทนมนุษย์จริง แล้วแบบนี้ต้องทำยังไง?
หลายคนคงเริ่มคิดว่าทำไมเจ้า A.I. มันถึงได้ฉลาดล้ำโลกขนาดนี้ แถมเข้ามาทำงานได้แบบไม่เหนื่อย ไม่บ่น ทนได้ตลอด 24 ชั่วโมง อึดขนาดนี้เห็นทีมนุษย์จะต้องหลีกทางให้หุ่นยนต์ทำงานแทนซะแล้ว แบบนี้จะเรียกว่าหุ่นยนต์แย่งงานคนหรือเปล่า?
“หลายคนอาจมองว่าหุ่นยนต์เข้ามาแย่งงานคนแต่ผมมองว่าแบบนี้ การที่เครื่องจักรเข้ามาแย่งงานคนไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกของประวัติศาสตร์โลก ย้อนกลับไปตอนก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมที่มีเครื่องจักรไอน้ำเกิดขึ้น ตอนนั้นใช้แรงงานคนเยอะมาก แต่พอมีเครื่องจักร คนตกงานเยอะมาก คนถูกบีบให้มีการศึกษา แต่ก็ยังมีงานฝั่งเสมียนรองรับ งานหนักๆ เครื่องจักรทำแล้ว ถ้าไม่มีเครื่องจักร เศรษฐกิจก็ไม่เฟื่องฟู งานที่มีการศึกษาก็จะไม่เกิด การเข้ามาของหุ่นยนต์ก็อาจจะเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเรายินดีกับการมาของมันล่ะแสดงว่าเรารักเผ่าพันธุ์เรานะเพราะมันคือความก้าวหน้าของเผ่าพันธุ์ สิ่งที่มนุษย์ต้องทำคือการทำอะไรก็ได้ที่หุ่นยนต์ทำไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้วหุ่นยนต์โง่นะ สร้างมาผลิตรถก็ผลิตได้แค่รถ ดังนั้นคนจะต้องทำในสิ่งที่มีความ Creative มากขึ้น สิ่งที่เราได้เปรียบคือจินตนาการ พอหุ่นยนต์เข้ามาทำงานแทนมนุษย์ งานที่เป็น Routine มนุษย์จะได้ไปทำในสิ่งที่เป็นนักคิดมากขึ้น เพราะมนุษย์เก่งที่สุดคือความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ”
Universal Basic Income ทฤษฏีใหม่ ทางแก้ปัญหามนุษย์กับหุ่นยนต์
ฟังดูแล้วงานนักคิดอาจเป็นอะไรที่ไกลตัว เมื่อเงินยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีพ หากว่าคิดแล้วไม่ได้เงิน แบบนี้คนคงไม่อยากคิดและยังอยากทำงานใช้แรงงานมากกว่า แต่ถ้าคนมีเงินแล้วมีเวลาคิดสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ ให้กับโลกนี้ล่ะ จะดีแค่ไหน? อย่างทฤษฏีที่ชื่อว่า Universal Basic Income หรือ UBI ที่หลายประเทศกำลังทดลองใช้ในขณะนี้ จะเป็นการแก้ปัญหาการอยู่ร่วมกันของมนุษย์และหุ่นยนต์ได้เป็นอย่างดีทีเดียว
“มีทฤษฏีทางเศรษฐศาสตร์อันหนึ่ง เริ่มทดลองที่ประเทศอังกฤษ แคนาดา สแกนดิเนเวียคือ Universal Basic Income เป็นการให้รายได้ขั้นพื้นฐานกับทุกคนโดยไม่มีเงื่อนไข เพราะรัฐบาลเหมือนบริษัทหนึ่ง ที่มีรายได้จากภาษีเอามาบริหาร มีเงินเดือนให้ข้าราชการต่างๆ ถ้าเก็บภาษีเยอะก็มีสวัสดิการสังคมที่ดี อยู่ฟรี กินฟรี แต่ถ้าวันหนึ่งที่หุ่นยนต์เข้ามาทำงานแทนข้าราชการหรือเอกชน รัฐบาลก็ลดค่าใช้จ่ายลงเยอะ มีเงินเหลือมากขึ้น เอกชนเองก็ลดค่าใช้จ่ายมีเงินจ่ายภาษีมากขึ้น เศรษฐกิจยิ่งเฟื่องฟู เมื่อเงินเหลือเยอะก็ทำให้นำมาทำประชานิยมหรือ UBI ได้ การทดลองถกเถียงกันว่าแล้วคนจะเอามาใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายไหม ก็อาจจะมีบ้าง แต่เต็มที่คือเดือนเดียว เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่มีจิตสำนึกว่าเราควรกลับมาทำอะไรที่มีประโยชน์ ดังนั้นถ้า A.I. เข้าจริงๆ รัฐบาลต้องปรับให้มี UBI ปรับกฎหมายให้ทัน สนับสนุนเรื่องการศึกษา ให้ผู้คนได้เรียนรู้ใหม่เป็นนักคิด นักประดิษฐ์ เมื่อมนุษย์ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินก็จะสามารถทำอะไรได้แบบที่เราคิดไม่ถึงเลย”
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี