Wegowhere สตาร์ทอัพสัญชาติไทยเอาใจคนขี้เหงา แพลตฟอร์มหาเพื่อนใหม่ให้คนชอบรวมตัว
Text : rujrada.w
ถ้าอยากกินบุฟเฟ่ต์มื้อใหญ่ อยากไปตีแบด หรือเล่นบอร์ดเกมแต่คนรอบตัวไม่ว่าง ลองเข้าแอปพลิเคชัน Wegowhere คุณอาจจะพบเพื่อนใหม่ที่เป็นคอเดียวกันและพร้อมไปด้วยกันก็ได้
Wegowhere เป็นการต่อยอดจาก Eatmatch แอปพลิเคชันหา “เพื่อนกิน” สำหรับคนที่ไม่อยากกินข้าวคนเดียว แต่เมื่อเห็นว่ากลุ่มผู้ใช้งานไม่ได้ต้องการแค่เพื่อนกินอย่างเดียว สังเกตได้จากการสร้างกลุ่มในแอปฯ ที่บางครั้งนัดกินข้าวแล้วไปตีแบดกันต่อหรือไปดูหนังกันต่อ จึงพัฒนาแพลตฟอร์มให้รองรับพฤติกรรมของผู้ใช้งานได้ดีมากขึ้น แพลตฟอร์มในวันนี้จึงแตกต่างจากช่วงแรกมาก
ธาย เลิศวิชัยวรวิชย์ และมิ้น เลิง ผู้ร่วมก่อตั้งแอปพลิเคชัน Wegowhere เล่าย้อนให้เราฟังว่าแม้แต่ Eatmatch ในตอนเริ่มแรกก็เกิดขึ้นมาเป็นแอปฯ เชิงท่องเที่ยว เพื่อให้ต่างชาติมาทำความรู้จักกับคนไทย
“เวลาเราไปเที่ยวประเทศที่คนส่วนใหญ่ไม่พูดภาษาอังกฤษ ถ้าอยากไปกินอาหารท้องถิ่นหรือทำอะไรที่คนท้องถิ่นทำก็ไม่รู้จะไปถามใคร เสิร์ชในกูเกิลก็มีแต่สถานที่ที่นักท่องเที่ยวไป เราเลยคิดว่าถ้าเรารู้สึกแบบนี้นักท่องเที่ยวที่มาประเทศไทยก็คงรู้สึกเหมือนกัน เราก็เลยทำ EatMatch ขึ้นมา แรกเริ่มมาเป็นแอปฯ ที่ให้ต่างชาติมาทำความรู้จักกับคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษได้ พาไปกินข้าว ซึ่งคนไทยต้องแนะนำว่าไปกินร้านไหนดี”
แต่เมื่อเปิดให้ใช้งานจริงมาระยะหนึ่งก็พบว่าผู้ใช้งานที่มีอยู่ประมาณ 6,000 คน เป็นชาวต่างชาติไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเป็นคนไทยที่หาเพื่อนคนไทยไปกินข้าวด้วยกัน จึงคิดว่าต้องเปลี่ยนเอาฟีเจอร์เกี่ยวกับชาวต่างชาติก่อน เพียงแค่ 1-2 สัปดาห์ก็กลายเป็นไวรัลถูกพูดถึงในทวิตเตอร์ และติดอันดับ 1 ใน App Store ประเทศไทย จากแอปฯ ท่องเที่ยวที่ปรับมาเป็นแอปฯ ชวนกินข้าว ย่างก้าวล่าสุดคือ เป็นแอปฯ หาเพื่อนไปทำกิจกรรมทุกอย่างด้วยกันได้
- แอปฯ ที่ใช่ของคนชอบรวมตัว
Wegowhere ตอบโจทย์คนหลากหลายแบบ จนถึงตอนนี้พฤติกรรมการใช้งานทำให้เห็นความชอบของผู้ใช้งานได้ชัดเจนว่าคนนี้สายกิน คนน้ายดื่ม คนนี้เป็นสายบอร์ดเกม หรือเป็นสายเล่นกีฬา ซึ่งหลังจากเปลี่ยน Eatmatch มาเป็น Wegowhere กิจกรรม “กินข้าว” ตกอันดับไปอยู่ที่ 3 โดยที่การตั้งกลุ่มออกไปทำกิจกรรมสนุกๆ ไม่ว่าจะเป็น ตีแบด เล่นบอร์ดเกม ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 และที่ 2 เป็นการชวนกันไปร้านนั่งดื่ม
มิ้นให้เหตุผลว่า “ยูสเซอร์ของแอปฯ เราส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ อายุ 20-35 ปี หลายคนเริ่มจากเป็นคนที่ไม่รู้จักกันเลยมาเป็นเพื่อนสนิท ครั้งแรกๆ ที่เข้ามาใช้แอปฯ อาจจะเจอคนแปลกหน้า แต่คนแปลกหน้าเหล่านั้นก็จะกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน และคนที่สนิทกันไปแล้วก็อาจจะมีเวลาไม่ตรงกันทุกครั้งเสมอไป ก็ไม่สามารถไปด้วยกันได้ ก็ต้องเข้ามาหาเพื่อนใหม่อีกอยู่ดี หรือทำกิจกรรมที่ครึ่งหนึ่งเป็นคนที่เราเคยเจอแล้ว อีกครึ่งหนึ่งเป็นคนใหม่
หลายคนคิดว่า Wegowhere เป็นแอปฯ สำหรับคนไม่มีเพื่อน แต่จริงๆ ไม่ใช่ เราแค่หาเพื่อนเพิ่ม บางกิจกรรมต้องทำกันหลายๆ คน เช่น เล่น Laser Tag เรามีเพื่อนอยู่แล้ว 2-3 คนแต่ยังเล่นไม่ได้ต้องมีคนเยอะกว่านี้ ก็สามารถดึงเพื่อนของตัวเองเข้ามาแล้วไป Join กับคนอื่นๆ ด้วย”
- เพิ่มโอกาสให้ร้านค้าพันธมิตร
Wegowhere ตอบโจทย์พฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ในยุคนี้ ในอีกแง่หนึ่งพวกเขากำลังส่งลูกค้ากลุ่มใหญ่ไปให้ร้านค้าพันธมิตร
“ลูกค้าของเราเวลาจะไปไหนก็จะไป 5-10 คนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นร้านค้าก็จะได้กลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มใหญ่เข้ามา อย่างร้านอาหารที่มีลูกค้าเป็นกลุ่มเข้ามาเขาก็จะเริ่มสั่งอาหารที่เป็นไซส์ใหญ่แล้วมาแชร์กัน มันก็จะช่วยเพิ่มยอดขายแล้วช่วยเพิ่มยอดค่าใช้จ่ายต่อคนให้กับร้านด้วย สำหรับร้านค้าที่เป็นกิจกรรม หลายๆ อย่างถ้าคนไม่มีเพื่อนไปก็เลือกที่จะไม่ไปแน่นอน เช่น บอร์ดเกม ซึ่งเล่นคนเดียวไม่ได้ เราช่วยให้คนที่สนใจกิจกรรมนั้นๆ มีเพื่อนไปด้วย ส่งลูกค้าไปให้เขา
ส่วนเราได้รายได้จากการส่งลูกค้าไปยังร้านค้าที่เป็นพาร์ทเนอร์ ถ้าลูกค้าของเราไปร้านย่างเนย เราก็จะหักเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย ซึ่งสำหรับร้านค้าถือเป็นค่าการตลาดและเขาได้ลูกค้าใหม่ๆ เดินเข้าไปที่ร้าน และสำหรับลูกค้าก็จะได้ส่วนลดจากร้านค้าที่เป็นพาร์ทเนอร์กับเรา Win-Win กันทุกฝ่าย”
ปัจจุบัน Wegowhere มีร้านค้าพันธมิตรอยู่ประมาณ 200 แบรนด์และยังเปิดรับพันธมิตรใหม่ๆ อยู่เสมอ
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup