Starting a Business

จากสาวนักช้อปสู่ธุรกิจของคนชอบช้อป “Sale Here” แพลตฟอร์มที่มีคนใช้งานกว่า 2 ล้านต่อเดือน!

 

     ใครจะคิดว่าเพราะความเป็นสาวนักช้อป ที่รักการช้อปปิงเป็นชีวิตจิตใจ จนรู้ว่าที่ไหนแบรนด์อะไร มีโปรโมชันดีๆ และเพียงเพราะอยากบอกต่อโปรโมชันเด็ดๆ เหล่านั้นให้กับเพื่อนๆ จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจ Sale Here เพจรวมโปรโมชันที่เพียงบอกต่อสิ่งดีๆ ให้กับบรรดานักช้อปทั้งหลาย จนกลายเป็นธุรกิจที่วันนี้ Sale Here มีพนักงานกว่า 120 คน และขยายสู่ทุกช่องทางออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ติ๊กต็อก เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน

    และไม่ใช่แค่การบอกต่อโปรโมชันให้กับนักช้อปเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้จุดกระแสต่างๆ มากมาย จากการสร้างสรรค์คอนเทนต์อีกด้วยและนี่…คือเรื่องราวของเพจรวมโปรโมชันอันดับ 1 และเส้นทางการเดินทางสู่ความสำเร็จของ โบนัส-วิณารัตน์ ศรีพยัคฆ์ และ เจ-กฤษฎา เลิศธรรมนาถ

     “โบนัสเป็นคนชอบช้อปปิงอยู่แล้ว ยิ่งถ้ามีป้ายเซลตรงไหนก็จะพุ่งไปตรงนั้นก่อนเลย จนวันหนึ่งได้คุยกับเพื่อนว่าเราไปห้างฯ นี้ซื้อรองเท้าแบรนด์นี้มาในราคาลด 50 เปอร์เซ็นต์ เพื่อนก็แบบเฮ้ย! ทำไมห้างฯ ที่เขาไปไม่เห็นมีลดราคาแบบนี้เลย ก็เริ่มคิดว่าจริงๆ ยังมีคนไม่รู้อีกเยอะมากว่าที่ไหนจัดโปรโมชันบ้าง ก็เลยอยากที่จะบอกโปรโมชันที่เรารู้ต่อให้คนอื่นๆ บ้าง ตอนแรกก็บอกในกลุ่มเพื่อนๆ ก่อน ไปๆ มาๆ ก็เริ่มเปิดอินสตาแกรมเพื่อแชร์โปรโมชันให้กับคนอื่นๆได้รู้ด้วย ตอนนั้นเราทำเองคนเดียวหมดเลย แล้วก็ยังไม่เห็นใครทำแบบนี้มาก่อน ปรากฏว่ามีเซเลบฯ ดารามาติดตามอินสตาแกรมนั้นเยอะมาก แล้วพอเขามาติดตามหรือมากดไลค์ ก็จะมีแฟนคลับของเขามากดติดตามต่อไปเรื่อยๆ จนทำให้เกิดเป็นกระแสแล้วก็ดังขึ้นมา หลังจากนั้นก็เลยเปิดเพจเฟซบุ๊กตามมา” เธอเล่า

    หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ Sale Here แตกต่างคือเรื่องของความไว เข้าถึงโปรโมชั่นต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ลงพื้นที่จริงเพื่อไปถ่ายรูปและบอกต่อโปรโมชั่น ทำให้เกิดผู้ติดตามอย่างรวดเร็วแถมยังดูมีความน่าเชื่อถือด้วย

     “อยากย้อนกลับมาในช่วงแรกที่เราทำ Sale Here คือ เราไม่ได้แค่รวบรวมโปรโมชันแล้วมาบอกต่อเท่านั้น เพราะถ้าเราบอกเฉยๆ คนก็จะไม่รู้ว่าลดจริงไหม รองเท้าคู่ไหนล่ะที่ลดราคา ดังนั้น ตั้งแต่แรกโบนัสจะไปหน้างานที่จัดโปรโมชัน แล้วถ่ายรูปมาลงในเพจด้วย ก็เลยทำให้เกิดเป็นกระแสขึ้นมาว่า Sale Here เป็นที่ที่บอกต่อโปรโมชันที่เป็นของจริง คนไปหน้างานก็จะเจอแบบนี้จริงๆ เป็นความน่าเชื่อถือ อันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Sale Here มีคนติดตามเพิ่มมากขึ้น” เจเล่าเสริม

     ซึ่งในปัจจุบัน Sale Here มีการเติบโตอย่างมาก จากที่เริ่มต้นมาจากแบรนด์เล็กๆ วิ่งถ่ายรูปเอง แต่ทุกวันนี้ Sale Here มีทีมงานเยอะขึ้น มีผู้ใช้งานหมุนเวียนที่ไม่ได้ลงะเบียนต่อเดือนแตะ 2 ล้านคน

     “ตลาดการทำโปรโมชันแล้วบอกต่อมีการเติบโตสูงมาก แต่ Sale Here เป็นเจ้าแรกๆ ที่ทำ จากตอนเริ่มต้นแบรนด์ที่มาทำกับเราอาจจะไม่ใช่แบรนด์ใหญ่ แต่ ณ ปัจจุบัน เกือบจะทุกเซ็กเตอร์ ทั้งสินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง สินค้าอุปโภคบริโภค อสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ ธนาคาร แล้วก็มีทั้งแบรนด์เล็กและแบรนด์ใหญ่ที่มาใช้ช่องทางของ Sale Here ตอนนี้มียอดคนที่ติดตามทางช่องทางต่างๆ รวมทั้งเพจในเครืออย่าง Eat Here, Sis Here, Proxumer ซึ่งเป็นเพจเฉพาะตามกลุ่มเป้าหมายแล้วกว่า 11 ล้านคน เรามีสมาชิกที่ใช้งานแพลตฟอร์มทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชันอยู่ที่ 6 แสน User ที่ลงทะเบียนแล้ว และที่ยังไม่ลงทะเบียนอีก 2.5 ล้านคนต่อเดือน”

     แม้ว่าในปัจจุบันจะมีโมเดลธุรกิจที่คล้ายๆ กันเพิ่มมากขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ Sale Here ยังคงยืนหนึ่งในตลาดนี้ได้เป็นเพราะความเข้าใจว่าคนชอบช้อปปิงต้องการอะไร อยากรู้อะไร จนเกิดเป็นการทำ Original Content ที่กลายเป็นไวรัลบนโลกออนไลน์ ดึงดูดให้คนอยากช้อปตามโปรโมชั่นมากขึ้น

     “Sale Here ไม่ได้มีแต่คอนเทนต์โปรโมชัน แต่เราสร้างคอนเทนต์ขึ้นมาจากกลุ่มคนที่ติดตาม เราจะคิดเสมอว่าคนที่ตาม Sale Here เขาอยากรู้อะไร อะไรที่เป็นประโยชน์กับเขา ดังนั้น นอกจากเรามีคอนเทนต์ที่มีความถูกต้อง สม่ำเสมอ เข้าใจง่าย อัพเดตเร็วก่อนใคร หรือมีอินไซด์ที่ไม่มีใครรู้มาก่อน แล้วเรายังพยายามใส่ครีเอทิฟลงไปในคอนเทนต์ที่ต้องการสื่อสารไปถึงลูกเพจด้วย เราจะเป็นคนสร้างกระแส จะไม่ตามกระแส เพราะเราเป็นเพจที่มีคนติดตามหลายล้าน เราต้องสร้างอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา ไม่ใช่แค่บอกว่าแบรนด์อะไร ลดอะไร ลดเท่าไหร่ เเต่เราจะบอกว่าแบรนด์นี้คุณควรจะจัดโปรโมชันอะไร บางทีเราอาจรวบรวมเอามาจัดเรียง รีวิวให้คะแนน ทำฮาวทู เอามาทำอะไรบางอย่างเพื่อให้เกิดครีเอทิฟขึ้นมา มันก็เลยเกิดกระแสขึ้นมา” เจเล่า

     โดยทั้ง 2 ผู้ก่อตั้งได้มองอนาคตของ Sale Here เอาไว้ว่ายังคงเน้นการใช้ข้อมูลที่มีคุณค่าและประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากที่สุดพร้อมกับจะเสริมฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามา ทำให้ Sale Here มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา

      “เราจะพัฒนาฟีเจอร์ นวัตกรรม ที่จะทำให้แบรนด์และผู้บริโภคใช้ง่ายขึ้น เป้าหมายเราอยู่ที่ผู้บริโภคได้ประโยชน์จากการอ่านคอนเทนต์เยอะมากน้อยขนาดไหน ความเก่งของทีมงานก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่เราให้ความสำคัญ คนที่มาอยู่ Sale Here ต้องมีความเก่งขึ้นจากวันแรก ทำงานผ่านมา 1 ปี เขาได้อะไรบ้าง เรามีโปรแกรมหลายอย่างในการพัฒนาทีม มีคอร์สในการพัฒนาทีมอยู่ตลอด”โบนัส กล่าวปิดท้าย

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup