Starting a Business

“กฤษฎา” ศิลปินลึกลับ ผู้ปลุกชีวิต Star Wars ให้มาสถิตย์อยู่กับอาร์ตทอย ขายหลักร้อยแต่รีเซลหลักพัน

 

     ใครที่เป็นแฟนตัวยงของ Art Toy หรือภาพยนตร์ Star Wars น่าจะเคยเห็นผลงาน Art Toy ที่แปลกแหวกแนวด้วยการหยิบเอาตัวละครใน Star Wars มามิกซ์กับความเชื่อแบบไทยๆ กลายเป็นผลงานชื่อดังอย่าง “ฤาษีเวเดอร์” ที่มีเงินเท่าไหร่ก็อาจจะหาไปครอบครองไม่ได้เพราะว่าไม่ผลิตแล้ว

     นอกจากนี้ฤาษีเวเดอร์ยังไปปรากฎตัวบ่อยๆ ในคลิปรีวิวอาร์ตทอยของ “จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์” ซึ่งผู้อยู่เบื้องหลังนั้นคือ “เอ๋ -กฤษฎา กฤษณะเศรณี” ศิลปินอาร์ตทอยที่น้อยคนนักจะเคยเห็นหน้าของเขา และวันนี้เราจะพาไปคุยกับเอ๋ในเส้นทางของการเป็นศิลปินอาร์ตทอยที่ปั้นผลงานสุดเจ๋งจนมีแต่คนตามหา

 

 

     ก่อนที่จะเข้าสู่เส้นทางอาร์ตทอย เอ๋เริ่มต้นเส้นทางอาชีพในสิ่งที่รักนั่นคือการทำงานเกี่ยวกับภาพยนตร์ เปิดร้านเล็กๆ อยู่ที่เชียงใหม่ระหว่างนั้นก็ทำงานเสริมอื่นๆ ได้ด้วย อาทิ เขียนบทความลงหนังสือ ทำงานกองถ่าย รับทำพร้อพ จากนั้นก็ได้เปลี่ยนเส้นทางมาทำงานออแกไนซ์และเข้าสู่เส้นทางของการทำหนังสือ

     “พี่อาจจะโชคดีที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนใกล้เรียนจบได้เปิดร้านขายของเกี่ยวกับภาพยนตร์ขายของสะสมเกี่ยวกับหนัง ของเล่นชื่อร้าน Movie Zone กาดสวนแก้ว เชียงใหม่ แล้วก็รับจ๊อบอื่นๆ ไปด้วย จากนั้นมันก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอดนะ ของสภาพสังคม เศรษฐกิจ จากนั้นเราก็มาทำงานออแกไนซ์กับเพื่อนๆ เป็นช่วงที่ออแกไนซ์บูมมาก แล้วพอมันเริ่มดาวน์ลง เราก็ได้มาทำนิตยสารกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ทำได้สักพักก็เกิดการเปลี่ยนแปลงของหนังสือ จากออฟไลน์มาออนไลน์ หนังสือขายได้น้อยลง จากนั้นพี่ก็เปลี่ยนไปทำสำนักพิมพ์ที่เขาทำหนังสือเตรียมสอบ ช่วงหลังๆ งานนักเขียนมันดรอปลงเยอะ ร้านหนังสือก็หายไป พ็อกเก็ตบุ๊กก็ไม่เวิร์คเหมือนเมื่อก่อน และมันไม่ใช่สิ่งที่เราชอบด้วย เหมือนเราอิ่มตัว มีความผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้น พี่เลยหยุดการดูแลงานหนังสือไปและมาทำอาร์ตทอยเต็มตัว”

     โดยก่อนที่เอ๋จะหยุดทำหนังสือ ช่วงประมาณปี 2017 มีเทคโนโลยีใหม่กำลังเข้ามาในประเทศไทยนั่นคือเครื่องพิมพ์แบบ 3D ซึ่งเขามองเห็นโอกาสจากสิ่งนั้นจนได้สั่งซื้อเข้ามาเพื่อหวังว่าน่าจะกลายเป็นธุรกิจอะไรสักอย่างได้ แม้ในตอนแรกจะยังไม่ได้มองถึงเส้นทางของอาร์ตทอยเลยก็ตาม

     “พี่คิดว่าเครื่องพิมพ์ 3D น่าจะทำอะไรได้เยอะเลย เลยลองซื้อมาเผื่อทำ Prototypeหรือใครอยากทำอะไรก็มาให้เราทำต้นแบบได้ แต่ไปๆ มาๆ คือเอามาทำของเล่น ช่วงนั้นน่าจะเป็นช่วงที่ Star Wars ภาคหลังเข้าพอดี แล้วพี่ก็อยู่ในกลุ่ม Star Wars เราเลยลองทำงานออกมาเป็นแบบ 3D พรินต์แล้วเอาไปโพสต์ก็มีคนสนใจ หลังๆ เขาก็มีการติดต่อซื้อ เราก็ทำขายจากนั้นเป็นต้นมา นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราทำอาร์ตทอยในปัจจุบัน แต่ตอนนี้เราเปลี่ยนจาก 3D พรินต์มาเป็นงานหล่อเรซิ่นแล้ว เราต้องหาโรงงานเอง หาช่างทำสี หาคนเขียนไฟล์ เรากระจายการทำงานออกไปในลักษณะของฟรีแลนซ์ เราต้องมาบริหารจัดการงานออกมาให้ได้ตามที่เราต้องการทั้งเช็คแบบ เช็ค QC ออกแบบแพ็คเกจจิ้ง”

 

 

     แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มองเห็นโอาสอาร์ตทอยแล้วจะทำธุรกิจนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง หากไม่รักจริงก็อาจจะอยู่ในวงการนี้ไม่ได้นาน เพราะมีช่วงหนึ่งที่อาร์ตทอยไทยเคยบูมแล้วก็ดรอปลง จนทำให้มีศิลปินอาร์ตทอยไทยถอดใจไปหลายคน แต่ที่ทำให้ชื่อและผลงานของเอ๋ กฤษฎายังอยู่ได้นั่นคือเพราะความหลงใหลในอาร์ตทอยของเขา ซึ่งเป็นผลพวงมาจากความชอบของเล่นตั้งแต่สมัยเขายังเป็นเด็ก

     “อาร์ตทอยน่าจะเข้ามาตั้งแต่ปี 2014-2015 แต่ก็ยังเป็นกลุ่มน้อยๆ จนปี 2017 มีงาน Thailand Toy Expo 2017 งานนั้นทำให้มีคนรู้จักอาร์ตทอยเยอะขึ้น เหมือนว่ามันจะบูมขึ้น แล้วหลังจากนั้นก็ดรอปลง กลายเป็นงานเฉพาะกลุ่มไป คนสนใจน้อยกว่าเดิม คนทำงานอาร์ตทอยก็อาจจะถอดใจแล้วเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น แต่ของพี่มันอยู่มาได้เรื่อยๆ เพราะมันเป็นความชอบมาแต่เด็ก คงเหมือนกับคนรุ่นเดียวกันกับพี่นี่แหละ ตอนเด็กเรายังไม่ค่อยมีเงิน แต่มีความทรงจำดีๆ กับของเล่น กับหนัง การ์ตูน พอโตมาเริ่มมีรายได้ ก็ทะยอยซื้อ จนในที่สุดเราก็ได้มาทำเอง”

 

 

     จุดเด่นอาร์ตทอยของเอ๋นั้นจะเป็นการหยิบเอาตัวละครในภาพยนตร์มาผสานกับเรื่องของความเชื่อจนกลายเป็นความแปลกและถูกจริตคนไทย ทำให้กลายเป็นผลงานที่ใครๆ ก็อยากได้ แต่ด้วยความที่เขาทำจำนวนจำกัดในแต่ละรุ่นที่ออกมา ยิ่งทำให้คนตามหา สุดท้ายก็กลายเป็นผลงานที่มีคุณค่าและมูลค่าสูงขึ้น แม้ว่ามีเงินก็อาจจะหาซื้อไม่ได้เพราะเลิกผลิตแล้ว จนทำให้มีบางคนไปปล่อยรีเซลหลายพันเลยทีเดียว

     “ด้วยความที่พี่ชอบหนังมากๆ เลยจะมาทางนี้เยอะหน่อย งานของเราเลยผสมระหว่างอาร์ตทอยกับงานภาพยนตร์เข้ามาในตัวงาน โดยงานอาร์ตทอยของเราจะแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ 1.อิงกับความชอบของเรา 2.อิงกับกระแส ก็จะไม่เกี่ยวกับหนังแล้ว ที่เราทำ Star Wars ค่อนข้างเยอะเพราะเราชอบ Star Wars มากๆ เลยมาจับทางนี้แล้วคนในกลุ่ม Star Wars ก็อายุไล่เลี่ยกัน พื้นฐานความชอบก็เหมือนกัน และอาร์ตทอยของเราทุกตัวจะสลักลายเซ็นและรันนัมเบอร์ นอกจากนี้ยังเป็นการขายที่แปลกๆ หน่อย ยิ่งเราปิดตัวเท่าไหร่ คนยิ่งอยากจะหาและงานมันก็จะมีค่ามากขึ้นทั้งมูลค่าและคุณค่า ตัวพี่เองไม่ได้ไปปั่น แต่คนอาจจะไปปั่นกันเอง มันเป็นการตลาดย้อนกลับ คนอื่นที่ทำเขาก็อาจจะแชร์กันออกไป เน้นขายเยอะๆ ยิ่งแพร่กระจาย ยิ่งขายดี แต่ของพี่ไม่ใช่ พี่จะเปิดขายเฉพาะคนที่เป็นเพื่อนในเฟซบุ๊ก เขาสนใจก็มาซื้อไป แล้วคนที่ซื้อก็เอาไปลงรีวิว ทำให้เกิดคนมาติดตาม คนสนใจอยากซื้อแต่มันซื้อไม่ได้แล้ว เพราะเราทำจำกัด พอเราโพสต์พรีออเดอร์เสร็จก็ลบทิ้ง”

     โดยเอ๋ได้แชร์เคล็ดลับที่ทำให้เขาสามารถอยู่ในวงการอาร์ตทอยได้มาอย่างยาวนานรวมถึงการทำให้ผลงานของเขาเป็นที่ต้องการของคนเล่นอาร์ตทอย

     “มันมีช่วงที่อาร์ตทอยบูมและดรอปลง หลายๆ คนทำแล้วท้อ ก็ไม่ได้ทำต่อ ทำให้เรามาย้อนนึกดูมันต้องทำอย่างสม่ำเสมอ สิ่งสำคัญคือต้องมีกลุ่ม งานมันก็จะขายได้ในกลุ่ม อย่างพี่เจอกลุ่ม Star Wars เราก็เข้าไปในกลุ่มเขา เขาก็สนับสนุนกัน แต่เราต้องเจอกลุ่มเป้าหมายเราให้ได้ก่อน จากนั้นเราต้องทำงานให้มีคุณภาพ ทำให้เกิดการซื้อซ้ำและติดตาม ถ้างานไม่มีคุณภาพ งานไม่ดี เขาคงไม่ติดตามและไม่กลับมาซื้ออีก อย่างตอนนี้งานอาร์ตทอยที่เกี่ยวกับความเชื่อมันกลายเป็น Red Ocean ไปแล้ว ใครๆ ก็ทำตามกันออกมา ขายใน E-commerce บ้าง แต่ถ้าทำงานด้วยความอยากจะขายแต่ไม่ได้มีความรู้หรือใจชอบจริงๆ มันจะเป็นงานอีกระดับหนึ่ง งานมันแมส ไม่ได้หายากและคุณค่าก็จะลดลง หลายคนอาจจะคิดว่ามันดีแล้ว ขายง่ายแต่ขายก็จบ ได้เงิน แต่ความจริงมันต้องมีใจรักด้วย” เขาเล่าปิดท้าย

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup