Starting a Business

​ฮิปฮอปสไตล์ ธุรกิจสไตล์ เวย์-ไทเทเนียม





     “นำความเป็นตัวตนของเรา มาสร้างความแตกต่างให้ธุรกิจ” คือสุดยอดเคล็ดลับในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จของ เวย์-ไทเทเนียม หรือ ปริญญา อินทชัย ศิลปินฮิปฮอปชื่อดังของไทย ซึ่งเขาออกตัวว่าทุกธุรกิจที่ทำไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หรือร้านตัดผม ล้วนสะท้อนความเป็นตัวเขาออกมาอย่างหมดเปลือก และนั่นเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 6 ปีเต็ม


     เวย์ เป็นสาวกอีกคนของหนังสือ Rich Dad Poor Dad ของ โรเบิร์ต ที.คิโยซากิ เขาเชื่อว่าคนรวยต้องรู้จักสร้างทรัพย์สิน หรือไม่ก็เอาจุดเด่นในตัวเรามาเป็นอาวุธเพื่อสร้างทรัพย์สินให้เยอะที่สุดแล้วให้ทรัพย์สินหมุนมาทำงานสร้างความมั่งคั่งให้เราอีกต่อหนึ่ง ศิลปินฮิปฮอปตัวพ่อรายนี้เริ่มต้นธุรกิจครั้งแรกจากทำเสื้อยืดขายให้กับแฟนคลับตามงานต่างๆ ซึ่งปรากฏว่าขายดีมาก เขาจึงหาโรงงานทำเป็นเรื่องเป็นราว โดยค่อยๆ เพิ่มสินค้า และพัฒนามาเป็น 3 แบรนด์ดัง NVSC Reven และ Dek Tai  


    NVSC และ Reven เป็นแบรนด์เสื้อผ้าผู้ใหญ่แนวสตรีทแบรนด์ ซึ่งเป็นสไตล์เสื้อผ้าแบบที่เขาชอบ และยังไม่เคยมีใครทำขายมาก่อนในเมืองไทย ทำให้ได้รับการตอบรับอย่างดี เช่นเดียวกับแบรนด์เสื้อผ้าเด็ก Dek Tai มีสไตล์โดดเด่นแตกต่างจากแบรนด์เสื้อผ้าเด็กทั่วไปในตลาดเมืองไทย ซึ่งนอกจากเสื้อแบรนด์แล้ว เวย์ยังทำธุรกิจเสื้อผ้าขายส่งด้วย แต่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับธุรกิจนี้มากนัก เพราะโจทย์ธุรกิจเสื้อผ้าขายส่งคือต้องออกแบบใหม่ทุกสัปดาห์ ซึ่งเขามองว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้ จึงหันไปโฟกัสกับเสื้อผ้าแบรนด์มากกว่า


     ส่วนธุรกิจร้านตัดผมมีจุดเริ่มต้นมาจากเขาหาร้านตัดผมสไตล์ที่ชอบไม่ได้ จนถึงกับต้องลงมือสอนช่างว่าต้องไถ ต้องเก็บรายละเอียดอย่างไรจึงจะออกมาสวยสะใจคนพันธุ์ฮิปฮอป แล้วก็ตัดที่ร้านนี้ประจำจนเจ้าของร้านเดิมถูกไล่ที่ เวย์จึงได้โอกาสลงทุนเปิดร้านตัดผมภายใต้ชื่อแบรนด์ Never Say Cutz  





     เวย์ยอมรับว่าช่วงแรกของการเริ่มต้นธุรกิจ เขาได้ความเป็นไทเทเนียมช่วยเรื่องการโฆษณาประชาสัมพันธ์มาก แต่สิ่งที่ทำให้ธุรกิจอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้คือคุณภาพการบริการ ที่เขาใส่ใจดูแล และตอบโทจย์ความต้องการของลูกค้ามาเป็นอันดับหนึ่ง จวบจนปัจจุบัน Never Say Cutz  ไม่ใช่แค่ร้านตัดผมสไตล์ฮิปฮอป แต่เป็นร้านตัดผมหลากสไตล์ ที่มีความชำนาญในการไถหัวสกินเฮดในราคาไม่แพง ลูกค้าของที่ร้านจึงมีทั้งคนฝรั่ง และคนไทย ทั้งคนทำงาน วัยรุ่น และเด็กนักเรียน


     Never Say Cutz ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดีนับตั้งแต่สาขาแรกที่เปิดที่สุขุมวิท 51 ซึ่งอยู่ห่างจากทองหล่อเพียง 5 นาทีถึง เวย์บอกว่าหลักในการเลือกโลเกชั่นร้าน เขายึดตามคำแนะนำของเจ้าของร้านตัดผมชื่อดังคนหนึ่งในอเมริกาที่ว่า “ร้านดียังไงคนก็มา ขอให้อยู่ในจุดที่คนเดินทางสะดวก และค่าเช่าไม่แพง”  ร้านตัดผมของเขาแทบทุกสาขาจะเน้น 2 ปัจจัยนี้เป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นที่สยามสแควร์ ซอยอารีย์ รามคำแหง หรือแม้แต่รัชโยธิน ล่าสุด Never Say Cutz เข้าไปอยู่ในห้างสรรพสินค้าเมเจอร์ ปิ่นเกล้า ซึ่งเขามีแผนจะขยายสาขาไปเรื่อยๆ ตั้งเป้า 10 สาขาใน 3 ปี ขณะที่ปัจจุบันมีอยู่แล้ว 6 สาขาในช่วง 6 ปีนับจากเริ่มต้นธุรกิจมา


     เวย์บอกว่าการทำธุรกิจ กับการทำเพลงไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ขณะที่การทำเพลงต้องอาศัยการสร้างสรรค์ การทำธุรกิจก็ต้องสร้างรูปแบบธุรกิจให้ตรงตามคอนเซ้ปต์แบรนด์เหมือนกัน ซึ่งการทำธุรกิจของเขาเหมือนเป็นการสร้างรากฐานรองรับไลฟ์สไตล์ที่ตัวเองคุ้นเคย เป็นเหมือนแผนสำรองที่ใช้รองรับสำหรับวันหนึ่งเมื่อเส้นทางนักดนตรีมาถึงทางตัน แต่สำหรับวันนี้ เวย์บอกว่าไม่ว่างานเพลง หรืองานธุรกิจ ทุกอย่างเป็นงานหลักที่สร้างความสุขให้เขาทั้งสิ้น เขาจึงสามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้โดยไม่เคยเครียดกับงานเลย


www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อธุรกิจเอสเอ็มอี