Finanace
ปิดประตูป้องกันกลโกง จากการขโมยข้อมูลบัตรเครดิตในการทำธุรกิจ
Main Idea
- หากผู้ประกอบการเปิดบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตไว้สำหรับทำธุรกิจ สิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังคือตกเป็นเหยื่อของการถูกขโมยข้อมูลจากบัตรเครดิตไปใช้จ่ายโดยแทบจะไม่รู้ตัว โดยเฉพาะจากคนในองค์กรของตัวเอง
- การหาวิธีป้องกัน หรือลบช่องโหว่เพื่อให้ผู้ที่ต้องการจะโกง หาโอกาสโกงได้ยากขึ้น เป็นสิ่งสำคัญมากๆ เพราะถ้าเงินทยอยไหลออกไป ก็เหมือนความมั่นคงทางธุรกิจที่ค่อยๆ พังทลายลงไป ดังนั้น ลองมาดูวิธีการป้องกันการโกงจากการขโมยข้อมูลบัตรเครดิตในการทำธุรกิจกัน
มีผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยที่ตกเป็นเหยื่อของการโกงเงินจากคนในองค์กรของตัวเอง โดยบางรายอาจถูกขโมยข้อมูลจากบัตรเครดิตไปใช้จ่ายโดยแทบจะไม่รู้ตัว ซึ่งอาจเป็นเพราะความเชื่อใจ วางใจ ไว้ใจ จากการที่ทำงานร่วมกันมานาน รวมถึงไม่คาดคิดว่าธุรกิจเล็กๆ แบบเรา จะถูกเพ่งเล็งการโกงจากใครได้ แต่อย่าลืมว่าจะมากจะน้อย “เงินก็คือเงิน” ทั้งนี้ต้องบอกว่า ไม่ใช่แค่ข้อมูลหรือเงินของเราเพียงอย่างเดียวที่ถูกเพ่งเล็ง หากเรายังมีข้อมูลที่มีค่าของลูกค้า เช่น ข้อมูลด้านการเงิน และข้อมูลความลับต่างๆ ก็มีโอกาสถูกลูกจ้างโจรกรรมไปใช้ประโยชน์หรือนำข้อมูลไปขายเพื่อสร้างรายได้เข้ากระเป๋าของตัวเองได้ ในขณะที่ธุรกิจของเราก็จะต้องเสียชื่อเสียงไปเต็มๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้
ในส่วนของธุรกิจทั่วๆ ไป หากเราเปิดบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตไว้สำหรับทำธุรกิจ ต้องระมัดระวังให้ดี ซึ่งคนส่วนใหญ่จะมีความระมัดระวังในการเช็กยอดการใช้เงินจากบัตรเครดิตอยู่แล้ว ขณะที่บัตรเดบิตจะมีความปลอดภัยในการใช้งานน้อยกว่า จึงสบช่องให้ขาทุจริตทั้งหลายชื่นชอบบัตรเดบิต เพราะสามารถเบิกเงินโดยตรงจากบัญชีก็ได้ รูดซื้อของก็ได้ ฟังดูแล้วอันตรายจนไม่น่าเปิดบัตรอะไรเลยใช่ไหมล่ะ แต่ลองมาดูวิธีการป้องกันการโกงจากเรื่องเหล่านี้กันดีกว่า
1. จำกัดการใช้บัตรเครดิตของพนักงาน
หากเรามีบัตรเครดิตสำหรับการทำธุรกิจ และหัวหน้าแผนกทุกแผนกสามารถนำไปใช้งานได้ ต้องบอกว่าเสี่ยงต่อการถูกจารกรรมข้อมูลเป็นอย่างมาก และถ้าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นมาจริงๆ แล้วก็จับมือใครดมได้ยากด้วย ยิ่งมีคนมีโอกาสได้ถือบัตรมากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่จะถูกนำไปใช้เพื่อเรื่องส่วนตัวก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น (ไม่ควรใช้กฎรับผิดชอบร่วมกัน เพราะสุดท้ายพนักงานจะทะเลาะกันเองได้) ในเรื่องนี้วิธีป้องกันคือ ให้สิทธิ์ในการใช้งานเพียงคนเดียว เวลาใครต้องการซื้ออะไรก็ต้องขออนุญาตจากผู้ได้รับมอบหมายให้ถือบัตร
สำหรับบางบริษัทที่ต้องออกบัตรเครดิตให้สำหรับทุกฝ่าย ก็ควรจำกัดวงเงินเท่าที่จะใช้ และให้อำนาจการเก็บรักษาไว้ที่หัวหน้าฝ่าย เพื่อให้มีผู้รับผิดชอบโดยตรงหากเกิดความผิดพลาดและระมัดระวังค่าใช้จ่าย ซึ่งหากมีค่าใช้จ่ายประหลาดๆ หัวหน้าฝ่ายย่อมต้องตรวจสอบเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเดือดร้อนอยู่แล้ว
อีกแนวทางที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ ให้พนักงานใช้บัตรเครดิตของตัวเองในการซื้อของ แล้วนำยอดจากบัตรเครดิตของตัวเองพร้อมใบเสร็จมาเบิกค่าใช้จ่ายกับบริษัท วิธีนี้จะช่วยป้องกันการจารกรรมข้อมูลบัตรเครดิตของบริษัทได้อีกทางหนึ่ง
2. เปลี่ยนจากบัตรเดบิต เป็นบัตรเครดิต
อย่างที่บอกในตอนต้นเอาไว้ว่า บัตรเดบิตนั้นถูกนำไปใช้ได้ง่ายกว่าบัตรเครดิต เพราะนอกจากจะนำไปรูดใช้จ่ายได้แล้ว ยังมีโอกาสถูกขโมยเงินออกจากธนาคารได้แบบตรงๆ อีกด้วย ที่สำคัญคนค้าคนขายเองก็ไม่ค่อยสนใจจะตรวจสอบลายเซ็นหลังบัตรเวลามีการรูดบัตรเดบิต (แต่จริงๆ แล้วการรูดบัตรเครดิตก็ไม่ค่อยมีใครสนใจเหมือนกัน)
นอกจากนี้ พฤติกรรมการรูดบัตรเดบิตส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อสินค้าในราคาที่ไม่สูงมาก ถ้าเจ้าของบัญชีไม่ระวังตรวจสอบโดยละเอียด ก็แทบจะไม่รู้เลยว่าเงินหายไปเท่าไหร่ หายมานานแล้วหรือยัง รวมมูลค่าความเสียหายอยู่ที่เท่าไหร่กันแน่ เป็นต้น
3. ติดตามการใช้เงิน
วิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องการถูกโกงเงินได้ดีที่สุดคือ การตรวจสอบค่าใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ โดยอาจจะลงมาดูแลเรื่องการชำระเงินให้ละเอียดรอบคอบด้วยตัวเอง หรือจะมอบหมายงานนี้ให้กับมืออาชีพ หรือผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการเงินอย่างแผนกบัญชีก็ได้ และหากพบอะไรที่แปลกๆ และดูไม่ชอบมาพากล ในฐานะที่เราเป็นเจ้าของก็ควรลองตรวจสอบดูสักนิด และอนุญาตให้ผู้ที่รับผิดชอบสามารถตรวจสอบค่าใช้จ่ายที่น่าสงสัยได้ทันที เรื่องของคำว่าเงินนั้น ไม่เข้าใครออกใคร ถึงจะวางใจได้แต่ก็ไม่ควรจะเชื่อใจจนสนิท ต้องพยายามดูให้ละเอียดรอบคอบ เพราะเงินทุนก็เปรียบเสมือนรากฐานของทุกธุรกิจ ที่สำคัญหากเจอการทุจริตมีการปลดพนักงานออก ต้องไม่ลืมที่จะเปลี่ยนแปลงรหัสที่มีความสำคัญต่อการทำธุรกิจของบริษัท และต้องแจ้งข่าวสารนี้ไปยังบริษัทที่ทำการซื้อ-ขายด้วย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมาทีหลัง
ทั้งนี้จากการศึกษาของ Federal Reserve หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ พบว่า เมื่อเราใช้บัตรเครดิตของบริษัท (หรือเงินของบริษัท) ในการซื้อสินค้า จะซื้อเป็นจำนวน 2 เท่า เมื่อเทียบกับการใช้บัตรเครดิตของตัวเอง หมายความว่าเมื่อไม่ใช่เงินของตัวเอง เราจะกล้าจ่ายเงินมากขึ้นเป็น 2 เท่า ดังนั้น การมีขั้นตอนตรวจสอบที่เข้มงวด จะช่วยให้พนักงานเกิดความระมัดระวังในการใช้เงินได้
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup