เครือข่ายถมช่องว่างทางสังคมจับมือธรรมศาสตร์ จุฬา สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเวที ถกปัญหาความเหลื่อมล้ำเกษตรกรไทย พบคนยากจนกว่า5ล้านคนในไทยกว่าครึ่งมาจากอาชีพเกษตรกรรมทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ และนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทั้งสิทธิ โอกาส อำนาจและศักดิ์ตามมา โดยเฉพาะสิทธิในการกำหนดนโยบายถูกกำหนดจากการเมืองเป็นหลัก ไม่สามารถหลุดพ้นจากบ่วงประชานิยมไปได้ แนะ แก้ปัญหาที่ดินทำกิน หนุน ร่วมกำหนดนโยบายรัฐ ผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านเกษตร สร้างเกษตรกรรุ่นใหม่สำนึกรักในอาชีพ
เครือข่ายถมช่องว่างทางสังคมจับมือธรรมศาสตร์ จุฬา สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเวที ถกปัญหาความเหลื่อมล้ำเกษตรกรไทย พบคนยากจนกว่า5ล้านคนในไทยกว่าครึ่งมาจากอาชีพเกษตรกรรมทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ และนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทั้งสิทธิ โอกาส อำนาจและศักดิ์ตามมา โดยเฉพาะสิทธิในการกำหนดนโยบายถูกกำหนดจากการเมืองเป็นหลัก ไม่สามารถหลุดพ้นจากบ่วงประชานิยมไปได้ แนะ แก้ปัญหาที่ดินทำกิน หนุน ร่วมกำหนดนโยบายรัฐ ผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านเกษตร สร้างเกษตรกรรุ่นใหม่สำนึกรักในอาชีพ
อ. นนท์ นุชหมอน นักวิชาการเครือข่ายถมช่องว่างทางสังคม (SIRNet) และเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยในงานเสวนา “ข้าวปลา อาหาร: เมนูความเหลื่อมล้ำเกษตรกรไทย” โดยร่วมกับสมาคมนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันวิจัยสังคม ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ได้ร่วมกัน มุ่งสะท้อนข้อเท็จจริงของเกษตรกร ซึ่งพบว่าประเทศไทยมีคนยากจนประมาณ 5,278,800 คน ซึ่งกว่าครึ่งของจำนวนดังกล่าวประกอบอาชีพเกี่ยวกับเกษตรกรรม โดยความเหลื่อมล้ำทางรายได้ดังกล่าวอาจเป็นเหตุและผล ของความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างประเภทอื่นๆในสังคมไทยซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ ความเหลื่อมล้ำในด้านของสิทธิ โอกาส อำนาจ และศักดิ์ศรี
ทั้งนี้ความเหลื่อมล้ำด้านสิทธิ ได้แก่ สิทธิเหนือทรัพยากร เช่น ที่ดิน แม้เกษตรกรรายย่อยในประเทศไทยจะมีสัดส่วนการถือครองที่ดินเป็นของตนเองในสัดส่วนที่สูง (ประมาณร้อยละ 85) แต่จำนวนเกษตรกรที่ยังประสบปัญหาขาดที่ทำกิน สูญเสียที่ดิน หรือมีข้อพิพาทกับที่ดินของรัฐ ก็มีจำนวนไม่น้อยโดยปี พ.ศ. 2547 พบว่ามีผู้ไม่มีที่ดินทำกิน 889,002 ราย และมีที่ดินแต่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ถึง 811,279 ราย
ขณะที่สิทธิในการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะด้านการเกษตร ที่ผ่านมานโยบายการเกษตรถูกกำหนดโดยกลุ่มการเมืองเป็นหลัก และไม่สามารถหลุดไปจากนโยบายประชานิยมหรือนโยบายที่มีค่าเช่าทางเศรษฐกิจสูง ไปสู่นโยบายการพัฒนาเชิงคุณภาพได้ หลายนโยบายไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่างของเกษตรกรหรือความแตกต่างเชิงพื้นที่ หรือความสอดคล้องกับนโยบายอื่นๆ เช่น ต้องการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์แต่ยังนำเข้าสารเคมีจำนวนมาก เป็นต้น หรือบางสาขาได้รับผลกระทบจากการเจรจาเปิดการค้าเสรี
นอกจากนี้ ยังมีความเหลื่อมล้ำในด้านโอกาส ของเกษตรกรรายย่อยในการเข้าถึงบริการสาธารณะต่างๆจากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น บริการขั้นพื้นฐานในส่วนของระบบชลประทาน ระบบขนส่ง บริการข้อมูลความรู้การวิจัยและพัฒนาที่มีแนวโน้มไปในทางเกษตรเชิงพาณิชย์ซึ่งเหมาะกับเกษตรกรขนาดกลางขึ้นไปมากกว่า หรือแม้แต่ระบบประกันพืชผลของเกษตรกรที่ยังไม่สามารถทำได้ครอบคลุมทุกจังหวัดหรือครอบคลุมผลผลิตทางการเกษตรทุกประเภท
ความเหลื่อมล้ำด้านอำนาจ เกษตรกรรายย่อยมักเป็นฝ่ายที่ต้องเสียเปรียบมาโดยตลอดไม่มีอำนาจในการต่อรองกับกลุ่มอื่นๆและไม่มีอำนาจในการแข่งขันทางการค้า อาทิ โครงการรับจำนำข้าวที่ชาวนา
ส่วนใหญ่ที่ได้รับผลประโยชน์จะเป็นชาวนาขนาดกลางและขนาดใหญ่ ส่วนชาวนาที่ยากจนจริงๆยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงนโยบาย
ความเหลื่อมล้ำในด้านศักดิ์ศรี ปัจจุบันมีค่านิยมที่ลูกหลานเกษตรกรซึ่งได้รับการศึกษาสูงขึ้นไม่อยากประกอบอาชีพเกษตรกร หรือแม้แต่ตัวเกษตรกรเองที่ไม่อยากให้ลูกหลานทำการเกษตรเช่นเดียวกัน เนื่องจากเห็นว่า อาชีพนี้ต้องใช้แรงงานหนัก รายได้น้อย มีหนี้สินมาก ขาดอำนาจต่อรอง และถูกเอารัดเอาเปรียบได้ง่าย
อย่างไรก็ดี มีข้อเสนอให้เพิ่มทางเลือกในการดำรงชีวิตให้กับเกษตรกร ทั้งในด้านสิทธิ โอกาส อำนาจ และศักดิ์ศรี โดยให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาความไม่มั่นคงในที่ดินของเกษตรกร การเพิ่มบทบาทของเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยในการกำหนดนโยบายสาธารณะด้านการเกษตรในรายสาขาหรือรายพื้นที่ ส่งเสริมให้มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางเกษตรอย่างทั่วถึงมากขึ้น ปรับปรุงกฎหมายด้านการแข่งขันทางการค้า การเพิ่มพันธกิจของหน่วยงานภาครัฐในการพิทักษ์คุ้มครองและรักษาความเป็นธรรมต่อเกษตรกรรายย่อย การส่งเสริมรูปแบบพันธะสัญญาที่เน้นความเป็นหุ้นส่วนมากขึ้น
นอกจากนี้ ควรให้การส่งเสริมเกษตรกรรุ่นใหม่ให้เกิดความรู้สึกถึงความมั่นคง และความเป็นผู้ประกอบการในอาชีพ ซึ่งแม้จะมีความเสี่ยงแต่ก็มีโอกาสการทำกำไรที่ดี มีโอกาสเติบโตและขยายกิจการได้ มีการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆไม่หยุดนิ่งตลอดเวลา