สนช.เตรียมของบรัฐบาลหมื่นล้านบาทมาตั้งกองทุนพัฒนาโครงการนวัตกรรม รับช่วงต่อโครงการคูปองนวัตกรรมฯ ช่วยพัฒนาคุณภาพสินค้า ยกระดับขีดความสามารถเอสเอ็มอี เพื่อความอยู่รอดในยุคค่าแรง 300 บาทและเตรียมความพร้อมในการรับมือเปิดประตูสู่เออีซี ปี58
สนช.เตรียมของบรัฐบาลหมื่นล้านบาทมาตั้งกองทุนพัฒนาโครงการนวัตกรรม สานต่อโครงการคูปองนวัตกรรมฯ หวัง ยกระดับเอสเอ็มอี เตรียมความพร้อมรับมือเออีซี
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวระหว่างการปิดโครงการคูปองนวัตกรรมสำหรับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอีว่าโครงการคูปองนวัตกรรมเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)หรือสนช.และส.อ.ท.
โดยส.อ.ท.ได้รับงบประมาณจากสนช.จำนวน 120 ล้านบาทเพื่อสร้างระบบการพัฒนาโครงการนวัตกรรมสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำแนวคิดนวัตกรรมไปใช้ในองค์กรอย่างเป็นรูปธรรมรวมถึงพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์ หรือปรับปรุงกระบวนการผลิตใหม่ๆแก่เอสเอ็มอี เพื่อให้สามารถแข่งขันทางธุรกิจในอนาคตได้อย่างมีศักยภาพโดยมีโรงงานอุตสาหกรรมเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 277 แห่งซึ่งในช่วง 2ปีที่ผ่านมาพบว่าผู้เข้าร่วมโครงการประสบความสำเร็จอย่างมาก ก่อให้เกิดมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัวหรือมากกว่า 300 ล้านบาท
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองเลขาธิการส.อ.ท.กล่าวว่าหลังปิดโครงการสนช.เตรียมของบประมาณจากรัฐบาล 10,000 ล้านบาทมาจัดตั้งกองทุนพัฒนาโครงการนวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าและการวิจัยการผลิตสินค้าต่างๆ โดยกองทุนจะให้เงินสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีแต่ละรายที่เข้าร่วมโครงการเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า เป็นการเตรียมความพร้อมให้กับเอสเอ็มอีเพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี)ปี 2558 รวมทั้งรองรับนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวันทั่วประเทศวันที่1 มกราคม 2556 เนื่องจากอนาคตต้นทุนการผลิตของเอสเอ็มอีจะปรับตัวสูงมาก ดังนั้นแนวทางช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้อยู่รอดได้ก็ คือ การวิจัยเพื่อพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
"กองทุนนี้ถ้าหากอยู่ใต้การบริหารงานของรัฐจะมีความล่าช้า จึงควรตั้งคณะกรรมการขึ้นมาโดยมีตัวแทนจากสนช.และภาคเอกชน รวมถึงกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อพิจารณาโครงการและอนุมัติงบเบื้องต้นการพัฒนานวัตกรรมและวิจัยต่างๆกองทุนอาจสนับสนุนเงิน 90%และผู้ประกอบการออกเอง 10% จากนั้นกองทุนจะลดสัดส่วนเงินช่วยเหลือลงเพื่อให้ผู้ประกอบการลงทุนเอง เนื่องจากส.อ.ท.ไม่ต้องการให้ผู้ประกอบการได้เงินฟรี เพราะจะไม่เห็นคุณค่าของเงินดังกล่าว"นายอิศเรศกล่าว