บีเอ็นไอคือ องค์กรมืออาชีพที่เป็นการรวมตัวกันของผู้ประกอบการเพื่อช่วยสร้างธุรกิจซึ่งกันและกันภายในกลุ่มผ่านรูปแบบการตลาดแบบบอกต่อ หรือระบบการแนะนำโอกาสธุรกิจ (Referral Marketing) แต่ละกลุ่มจะประกอบไปด้วยสายธุรกิจที่หลากหลาย และมีเพียง 1 สมาชิกต่อ 1 อาชีพหรือธุรกิจ ต่อ 1 กลุ่มเท่านั้นเพื่อป้องกันการแข่งขันภายในกลุ่ม หลักสำคัญคือ การมอบโอกาสธุรกิจให้แก่สมาชิกในกลุ่มผ่านการสร้างสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นจนเกิดความเชื่อถือและไว้วางใจ และนำไปสู่การแนะนำลูกค้าที่ดีที่สุดให้แก่เพื่อนสมาชิก
บีเอ็นไอคือ องค์กรมืออาชีพที่เป็นการรวมตัวกันของผู้ประกอบการเพื่อช่วยสร้างธุรกิจซึ่งกันและกันภายในกลุ่มผ่านรูปแบบการตลาดแบบบอกต่อ หรือระบบการแนะนำโอกาสธุรกิจ (Referral Marketing) แต่ละกลุ่มจะประกอบไปด้วยสายธุรกิจที่หลากหลาย และมีเพียง 1 สมาชิกต่อ 1 อาชีพหรือธุรกิจ ต่อ 1 กลุ่มเท่านั้นเพื่อป้องกันการแข่งขันภายในกลุ่ม หลักสำคัญคือ การมอบโอกาสธุรกิจให้แก่สมาชิกในกลุ่มผ่านการสร้างสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นจนเกิดความเชื่อถือและไว้วางใจ และนำไปสู่การแนะนำลูกค้าที่ดีที่สุดให้แก่เพื่อนสมาชิก
ดร. ไอวาน อาร์ ไมส์เนอร์ ผู้ก่อตั้ง และประธาน บีเอ็นไอ เปิดเผยว่า ในประเทศไทยนั้นบีเอ็นไอจะเน้นการช่วยผู้ประกอบการขนาดเล็กถึงกลาง (SMEs) เนื่องจากผู้ประกอบการเหล่านี้มีงบฯทำการตลาดไม่มาก จึงไม่สามารถโฆษณาสินค้าและบริการของตนได้ถี่และครอบคลุมได้เท่ากับธุรกิจขนาดใหญ่ โดยบีเอ็นไอประเทศไทยมีแผนเพิ่มจำนวนกลุ่มผู้ประกอบการให้ถึง 1,200 รายทั่วประเทศภายในปี 2558 จากปัจจุบัน 400 ราย พร้อมกับการพัฒนาศักยภาพการทำธุรกิจไปด้วยกัน คาดว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจจากปัจจุบัน 720 ล้านบาท ไปสู่ 1,200 ล้านบาทในปี 2555 นอกจากนี้ยังมีแผนจะขยายการสร้างกลุ่มสมาชิกออกไปยังหัวเมืองใหญ่ทั้งสี่ภาคของประเทศคือ ภาคตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคใต้ ในพัทยา ขอนแก่น เชียงใหม่ หาดใหญ่ เป็นต้น
สำหรับบีเอ็นไอก่อตั้งมาเป็นเวลา 28 ปี ปัจจุบันเรามีผู้ประกอบการถึง 140,000 รายใน 50 ประเทศทั่วโลก และตั้งเป้าไว้ที่ 200,000 รายภายในปี 2558 สำหรับปีนี้ เราตั้งเป้ามูลค่าธุรกิจทั่วโลกไว้ที่ 1 แสนล้านบาทเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ 9 หมื่นล้านบาท สิ่งที่น่าสนใจคือ เราพบว่า ตอนนี้ธุรกิจใหญ่ๆเริ่มย้ายฐานมาอยู่ในเอเชียมากขึ้น เพราะธุรกิจในกลุ่มประเทศยุโรปกำลังซบเซา โดยเฉลี่ยแล้วการส่งออกขององค์กรเหล่านี้ทำเงินถึง 60% ของยอดขายทั้งหมด เราจึงคาดว่า ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เอเชียจะกลายเป็นภูมิภาคที่มีขนาดตลาดธุรกิจใหญ่ที่สุดของบีเอ็นไอ โดยมีอินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดธุรกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากประเทศอเมริกา”
ทางด้านกลุ่มเป้าหมายในอนาคตของบีเอ็นไอ ดร. ไมส์เนอร์ กล่าวว่า เป็นคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับเทคโนโลยี คุ้นเคยกับการพูดคุยผ่านเครื่องมือสื่อสารที่ใช้ตัวอักษร แต่ไม่รู้จักการพูดต่อหน้า(face to face) ที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดี และน่าเชื่อถือมากกว่า คนในรุ่นเทคโนโลยีล้ำหน้านี้ จึงเป็นกลุ่มที่ต้องการความรู้เรื่องการทำตลาดแบบบอกต่อเพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในที่สุด
ด้านนายกลกิตติ์ เถลิงนวชาติ ประธานอำนวยการบริษัท บีเอ็นไอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนว่า “ปัจจุบันกลุ่มสมาชิกบีเอ็นไอประเทศไทยได้มีการติดต่อและทำงานกับผู้ประกอบการในประเทศสมาชิกเออีซีอยู่แล้ว เรามี BNI Connect Global ระบบออนไลน์ที่เชื่อมโยงนักธุรกิจไทยกับนักธุรกิจทั่วโลก สามารถแนะนำตัว ติดต่อประสานงานกันได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เรายังคอยเน้นเรื่องสายสัมพันธ์ที่แข็งแรงระหว่างสมาชิกอยู่เสมอ เพราะเปรียบเหมือนเกราะป้องกันคู่แข่งจากเออีซีไม่ให้เจาะเราได้ง่ายๆ จึงกล่าวได้ว่า เราพร้อมมากแล้วสำหรับเออีซีในอีก 3 ปีข้างหน้า”
ที่มา : บ้านเมือง