EIC มองเศรษฐกิจไทยปัจจัยเสี่ยงเพียบ

EIC มองภาพรวมเศรษฐกิจไทยปัจจัยเสี่ยงยังมีเพียบ แถมบางนโยบายกระตุ้นใช้จ่ายของรัฐอาจส่งผลต่อการแข่งขันไทยระยะยาว

 

EIC มองภาพรวมเศรษฐกิจไทยปัจจัยเสี่ยงยังมีเพียบ แถมบางนโยบายกระตุ้นใช้จ่ายของรัฐอาจส่งผลต่อการแข่งขันไทยระยะยาว
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ แถลงข่าวมุมมองภาพรวมเศรษฐกิจ และผลกระทบจากนโยบายภาครัฐ โดย ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ Chief Economist และ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า EIC ปรับประมาณการของเศรษฐกิจไทยปี 2013 ให้สอดคล้องกับแนวโน้มของปัจจัยสำคัญ ได้แก่ เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ที่เปลี่ยนแปลงไปจากมุมมองเดิมอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการคาดการณ์ของการส่งออก อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย เป็นหลัก  นอกจากนี้ นโยบายของภาครัฐในการสนับสนุนการใช้จ่ายในประเทศยังอาจมีผลกระทบกับโครงสร้างการผลิตและความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาวอีกด้วย

ทั้งนี้ เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ามีความเปราะบางกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่ภาคอุตสาหกรรมชะลอตัวลง เห็นได้จากดัชนีการสั้งซื้อสินค้าอุตสาหกรรม PMI New Orders ที่ยังหดตัวลงอย่างต่อเนื่องทั้งๆ ที่ทางการจีนใช้นโยบายการเงินกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศไปแล้วหลายครั้งในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจีนพึ่งพาเศรษฐกิจยุโรปค่อนข้างมาก  

สำหรับในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้านี้ เศรษฐกิจยุโรปยังจะเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากการขอผ่อนปรนเงื่อนไขการได้รับเงินช่วยเหลือของกรีซและมาตรการของธนาคารกลางยุโรปในการช่วยเหลือลดต้นทุนการกู้ยืมของสเปนและอิตาลี ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เศรษฐกิจยุโรปหดตัวลงมากกว่าที่คาดไว้ได้ ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะเป็นที่พึ่งให้กับเศรษฐกิจโลกได้”

การส่งออกของไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้น้อยลงกว่าที่คาดไว้เดิม ดร.สุทธาภา กล่าวว่า “EIC ประเมินว่าการส่งออกจะขยายตัวได้ประมาณ 8% ในปีนี้และ 11% ในปีหน้า แต่หากยุโรปแย่กว่าที่คาด การส่งออกอาจจะขยายตัวได้เพียง 5% ทั้งในปีนี้และปีหน้า โดยอุตสาหกรรมที่น่าจะได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ กลุ่มอาหาร กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า และกลุ่มเคมีภัณฑ์และพลาสติก นอกจากนี้ การลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะเป็นผลลบกับกลุ่มยางพารา และอุตสาหกรรมเหล็ก”

แรงกดดันด้านเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงทำให้ยังสามารถดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายได้  ดร.สุทธาภา มองว่า “การที่ราคาน้ำมันดิบยังยืนอยู่ในระดับเกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะนี้และยังไม่มีแนวโน้มจะลดลงจากปัจจัยด้านอุปทาน ส่งผลให้ราคาน้ำมันที่คาดการณ์ไว้สำหรับปี 2013 ไม่ต่างจากระดับปัจจุบันมากนัก ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2013 น่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 3.3% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม แรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลงน่าจะทำให้การดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายยังสามารถทำได้ ดังนั้น EIC จึงคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยังไม่มีการปรับขึ้นในปี 2013 และมองว่าการใช้จ่ายในประเทศและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกน่าจะมีน้ำหนักในการดำเนินนโยบายการเงินมากกว่าปัจจัยด้านเงินเฟ้อในช่วงนี้”

มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศของรัฐบาลอาจมีผลต่อโครงสร้างการผลิตของไทยในระยะยาว ซึ่งนโยบายการคืนภาษีรถยนต์คันแรกและนโยบายการรับจำนำข้าวในราคาสูงอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างการผลิต รวมถึงอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาว
 

NEWS & TRENDS