กับสาขากว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ และจุดแข็งด้านการเข้าถึงทุกปลายทางหลายสิบล้านครัวเรือนในทุกวัน ทำให้องค์กรที่อยู่คู่สังคมไทยมานานกว่า 100 ปี อย่าง ไปรษณีย์ไทย สามารถตอบโจทย์ SME สมัยใหม่ได้มากกว่าแค่การส่งจดหมาย กอปรกับแคมเปญมากมายที่มุ่งเน้นการบริการแบบครบวงจร ทำให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นหลายรายสามารถเติบโตจาก SME ไซส์มินิ เป็น SME ไซส์ใหญ่ที่แข็งแรงได้ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี
จำนวนสาขากว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ และจุดแข็งด้านการเข้าถึงทุกปลายทางหลายสิบล้านครัวเรือนในทุกวัน ทำให้องค์กรที่อยู่คู่สังคมไทยมานานกว่า 100 ปี อย่าง “ไปรษณีย์ไทย” สามารถตอบโจทย์ SME สมัยใหม่ได้มากกว่าแค่การส่งจดหมาย กอปรกับแคมเปญมากมายที่มุ่งเน้นการบริการแบบครบวงจร ทำให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นหลายรายสามารถเติบโตจาก SME ไซส์มินิ เป็น SME ไซส์ใหญ่ที่แข็งแรงได้ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี
“มีสินค้าหลายชนิดที่ฝากวางจำหน่าย ณ ที่ทำการไปรษณีย์ แต่ที่ได้รับความนิยมมากคือ ยาดมสมุนไพร กาแฟ 3 in 1 และเครื่องรางของขลัง ซึ่งมั่นใจได้ว่าเป็นของแท้ และบางรุ่นไม่สามารถจับจองได้จากที่อื่นๆ”
อานุสรา จิตต์มิตรภาพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตัวอย่างสินค้าที่ฝากขายกับไปรษณีย์แล้วประสบความสำเร็จให้เห็นกันชัดๆ พร้อมเผยถึงแผนรุกตลาดค้าปลีกให้มากขึ้นเพื่อสนับสนุน SME ไทย ผ่านแค็ตตาล็อกสินค้าเด่นที่ผ่านกระบวนการเลือกสรร ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเช่าพื้นที่วางสินค้า รวมถึงยกระดับโครงการ Yummy Post (อร่อยทั่วไทย สั่งได้ที่ไปรษณีย์) ให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อส่งเสริมการบริโภคสินค้าภายในประเทศ ตัดปัญหาการกดราคาสินค้าและผลักดันโครงการดังกล่าวสู่ระดับภูมิภาคอาเซียนต่อไปในภายภาคหน้า
“ที่ผ่านมาโครงการ Yummy Post ยังไม่ได้ดำเนินกลยุทธ์เต็มที่ เนื่องจากเราต้องการให้ผู้ประกอบการมีความเข้มแข็งมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะการสั่งเมนูอร่อยทั่วไทยนี้ผู้บริโภคจะต้องได้รับสินค้าภายใน 24 ชั่วโมง ผู้ประกอบการจึงต้องเตรียมความพร้อมด้านการผลิตให้ทันกับความต้องการ และเข้มงวดด้านคุณภาพของสินค้า และบรรจุภัณฑ์ เพราะในอนาคตเราจะหาของอร่อยจากภูมิภาคต่างๆ ขยายผลไปทั่วประเทศไทย และต่อยอดไปสู่ระดับอาเซียน”
อีกบริการหนึ่งที่นับว่าตอบโจทย์ SME ได้เป็นอย่างดีไม่แพ้กันนั่นก็คือ “การให้บริการคลังสินค้า” ซึ่งเรียกได้ว่าครบวงจร เช่น SME ระดับภูมิภาคผลิตสินค้าแล้วไม่มีที่เก็บ ไปรษณีย์ไทยเองก็มีศูนย์รองรับอยู่ทั้งหมด 16 แห่งทั่วประเทศเพื่อกระจายของส่งไปยังปลายทาง ซึ่งแน่นอนว่าระบบการจัดเก็บนั้นมีมาตรฐานดีเยี่ยม ถึงขนาดสามารถรองรับการจัดเก็บยาและเวชภัณฑ์ เพื่อขนส่งถึงผู้ป่วยที่ต้องการใช้รักษาทางการแพทย์นับหมื่นรายทั่วประเทศเลยทีเดียว
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดก็คือ “บริการรับฝากสินค้าขนาดใหญ่ระหว่างเทศ” หรือ Logispost World ซึ่งนับเป็นโครงการที่ใช้ยุทธศาสตร์เส้นทางของประเทศไทยอันเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ร่วมมือกับไปรษณีย์ประเทศต่างๆ 7 ประเทศที่มีปริมาณการส่งพัสดุจากประเทศไทยออกไปมากที่สุด ได้แก่ อเมริกา ออสเตรเลีย อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และจีน เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ประกอบการที่ต้องการฝากส่งสิ่งของทุกรูปร่างลักษณะ แต่มีน้ำหนักไม่เกิน 200 กิโลกรัม แบบ Door–To–Door ตามมาตรฐานการส่งมอบภายใน 7-10 วันทำการได้อย่างอุ่นใจ
“นอกจากการศึกษาหาความรู้เพื่อเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ รวมถึงการลงนามความร่วมมือที่จะขยายผลกับไปรษณีย์ประเทศอื่นๆ แล้ว เรายังต้องปรับระบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพบนต้นทุนที่แข่งขันได้ ซึ่งการตั้งบริษัทลูกด้านโลจิสติกส์โดยการจับมือพันธมิตรไทย และต่างชาติ เพื่อนำจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาใช้นั้น จะช่วยให้เกิดความคล่องตัวด้านการทำงาน และส่งเสริม SME ไทยไปสู่ต่างประเทศได้อย่างยั่งยืน”