ศูนย์วิจัยฯธุรกิจบัณฑิตย์ เผยผลวิจัยคาด 18 เดือนเอสเอ็มอีเจ๊งนับแสนราย เหตุขึ้นค่าแรงก้าวกระโดดเกินไป ขึ้นเป็นเบอร์ 2 ค่าแพงสุดในอาเซียน
ศูนย์วิจัยฯธุรกิจบัณฑิตย์ เผยผลวิจัยคาด 18 เดือนเอสเอ็มอีเจ๊งนับแสนราย เหตุขึ้นค่าแรงก้าวกระโดดเกินไป ขึ้นเป็นเบอร์ 2 ค่าแพงสุดในอาเซียน
ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPURC) เปิดเผยผลการวิจัยเรื่อง “ค่าแรงขั้นต่ำ: บทเรียน ผลกระทบ และการปรับตัว” ซึ่งได้ทำการสำรวจแนวทางในการปรับตัวของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ประกอบการ จำนวน 536 ราย ใน 7 จังหวัดนำร่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม และภูเก็ต
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบของค่าแรงขั้นต่ำในต่างประเทศพบว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะทำให้เกิดการเลิกจ้างในระดับที่แตกต่างกัน ยิ่งค่าแรงขั้นต่ำใหม่มีค่าใกล้เคียงกับค่าแรงเฉลี่ยของประเทศ ผลด้านการเลิกจ้างก็จะยิ่งสูงขึ้น โดยจากการศึกษาพบว่า หากค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นจนเกินกว่า 40% ของค่าแรงเฉลี่ย (เช่น ถ้าค่าแรงเฉลี่ยเท่ากับ 400 บาทต่อวัน 40% ของค่าแรงเฉลี่ยจะเท่ากับ 160 บาทต่อวัน) จะเกิดปัญหาเลิกจ้างอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการเลิกจ้างแรงงานที่เป็นเยาวชน และแรงงานของธุรกิจเอสเอ็มอี
ในกรณีของประเทศไทย การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท ทำให้ค่าแรงใหม่คิดเป็นประมาณ 75% ของค่าแรงเฉลี่ยของประเทศ ซึ่งถือว่าอยู่ระดับสูงมาก ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พบว่า จำนวนเอสเอ็มอีใน 7 จังหวัดนำร่อง มีจำนวน 888,089 ราย จึงเป็นไปได้ว่า ในช่วง 18 เดือนข้างหน้า จะมีเอสเอ็มอีที่ต้องปิดกิจการลงเนื่องจากผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและต้นทุนการผลิตในส่วนอื่นที่สูงขึ้นเป็นจำนวน ประมาณ 88,000 ถึง 130,000 ราย
นอกจากนี้ จากการสำรวจของธนาคารโลกพบว่า สถานประกอบการไทยขาดแคลนแรงงานที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับความต้องการของนายจ้างมากที่สุดในอาเซียน โดยคิดเป็น 38.8% ของสถานประกอบการทั้งหมดในประเทศ เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอาเซียนที่ไม่รวมประเทศไทย ซึ่งมีค่าประมาณ 12.6% จะเห็นได้ว่า ปัญหาในประเทศไทยสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนถึง 3 เท่า
นอกจากนี้แล้ว การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท ทำประเทศไทยมีค่าแรงขั้นต่ำใกล้เคียงกับประเทศฟิลิปปินส์ และสูงกว่าประเทศที่เหลือในอาเซียนทั้งหมด โดยสูงกว่ามาเลเซีย 14% อินโดนีเซีย 92% ลาว 220% เวียดนาม 284% และกัมพูชา 380%
ความแตกต่างทั้งสองประการนี้ จะส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในระยะยาว โดยเฉพาะผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานเป็นหลัก