ศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPURC) ได้สำรวจความพร้อมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเกี่ยวกับการเตรียมตัวรับมือกับโอกาสเกิดน้ำท่วมในปี 2555 โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ประกอบการ 427 ราย ใน 12 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากมหาอุทกภัยในปี 2554 ได้แก่ กรุงเทพมหานครฯ นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี อุทัยธานี นครสวรรค์ สุโขทัย พิจิตร กำแพงเพชร พิษณุโลก
ศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPURC) ได้สำรวจความพร้อมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเกี่ยวกับการเตรียมตัวรับมือกับโอกาสเกิดน้ำท่วมในปี 2555 โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ประกอบการ 427 ราย ใน 12 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากมหาอุทกภัยในปี 2554 ได้แก่ กรุงเทพมหานครฯ นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี อุทัยธานี นครสวรรค์ สุโขทัย พิจิตร กำแพงเพชร พิษณุโลก
ทำการสำรวจในระหว่างวันที่ 20 ถึง 24 กุมภาพันธ์ 2555 ในประเด็นต่อไปนี้ การคาดการณ์เกี่ยวกับความรุนแรงของน้ำท่วมในปี 2555 การรับทราบและความเชื่อมั่นในนโยบายบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล การเตรียมตัวรับมือกับน้ำท่วมของผู้ประกอบการ และความช่วยเหลือที่ต้องการจากภาครัฐ
ด้านการคาดการณ์เกี่ยวกับความรุนแรงของน้ำท่วม กลุ่มตัวอย่าง 17.3% คาดว่าปีนี้น้ำท่วมจะรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา 19.7% เท่ากับปีที่ผ่านมา 25.1% รุนแรงน้อยกว่าปีที่ผ่านมา 19.9% น้ำไม่ท่วม และอีก 18.0% ไม่แน่ใจ
เมื่อสอบถามว่าทราบถึงแผนบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลหรือไม่ 70.3% ทราบถึงแผนดังกล่าว 29.7% ไม่ทราบ อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มที่ทราบถึงแผนบริหารจัดการน้ำ 42.1% ระบุว่า แผนยังไม่มีความชัดเจนพอ 28.2% ระบุว่า แผนมีความชัดเจนแล้ว
ระดับความเชื่อมั่นในแผนบริหารจัดการน้ำ 9.5% เชื่อมั่นมาก 35.4% ค่อนข้างเชื่อมั่น 32.8% ไม่ค่อยเชื่อมั่น และอีก 22.3% ไม่เชื่อมั่นเลย ข้อสังเกตที่สำคัญ คือ ในกลุ่มที่ระบุว่าไม่เชื่อมั่น (ไม่ค่อยเชื่อมั่น + ไม่เชื่อมั่นเลย) ซึ่งมีอยู่ 55.1% นั้น 40.5% เป็นผู้ที่ระบุว่าแผนบริหารจัดการน้ำของรัฐยังไม่มีความชัดเจนพอ
กลุ่มตัวอย่าง 56.3 % ระบุว่า มีแผนรับมือกับน้ำท่วม 43.7% ไม่มีแผนรับมือกับน้ำท่วม โดยกลุ่มตัวอย่างที่ระบุว่ามีแผนรับมือกับน้ำท่วม มีความก้าวหน้าในการเตรียมการไปแล้วโดยเฉลี่ยประมาณ 48.7%
ส่วนความพร้อมในรายจังหวัด มีดังนี้ กรุงเทพมหานครฯ 52.3% ปทุมธานี 52.1% พระนครศรีอยุธยา 51.4% อ่างทอง 47.1% นนทบุรี 45.5% ลพบุรี 43.8% นครสวรรค์ 40.4% พิจิตร 39.7% สุโขทัย 38.5% อุทัยธานี 36.8% กำแพงเพชร 33.7% และพิษณุโลก 31.2%
เมื่อสอบถามถึงรายละเอียดการเตรียมตัวรับมือกับน้ำท่วม ตามหลักแผนประคองกิจการ (Business Continuity Plan) พบว่า วิธีการเตรียมตัวที่ผู้ประกอบการในภาคการผลิต ภาคการค้า และภาคบริการ ส่วนใหญ่มี 3 วิธีด้วยกัน การซื้อเรือไว้ใช้ 74.6-80.8% การย้ายสายไฟ อุปกรณ์ไฟฟ้า และเครื่องมือเครื่องจักรไว้ในที่สูง 65.9-75.5% และมีฐานข้อมูลสำรองของลูกค้าและบริษัท 52.1-66.7%
กลุ่มตัวอย่าง 15.7% ระบุว่า มีประกันที่ครอบคลุมถึงการเกิดน้ำท่วม 22.9% ยังไม่มีประกัน แต่วางแผนจะทำ และอีก 61.4% ไม่มีประกัน และจะไม่ทำ โดย 21.0% ของผู้ประกอบการกลุ่มนี้ ไม่ทำประกัน เพราะมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป 14.3% เคยติดต่อกับบริษัทประกันแล้ว แต่ได้รับการปฏิเสธ 18.1% คาดว่าน้ำจะไม่ท่วม และอีก 8.0% เชื่อว่าได้เตรียมการป้องกันไว้ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำประกัน
สำหรับความช่วยเหลือที่ต้องการจากภาครัฐ (ตอบได้ 3 ข้อ) 69.9% ต้องการให้รัฐบาลส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยตรวจสอบสถานประกอบการเพื่อวางแผนรับมือกับน้ำท่วม 65.7% ให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องล่วงหน้า 60.6% ตรวจตราดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับสถานประกอบการอย่างเข้มงวด 50.3%
จัดหาอุปกรณ์ป้องกันน้ำท่วม เพื่อลดความเสียหาย 47.2% จัดหาสถานที่ทำการผลิต/ประกอบธุรกิจ เป็นการชั่วคราวในพื้นที่อื่น 35.3% จัดการขนส่งวัตถุดิบ สินค้า และพนักงาน เพื่อให้สามารถทำธุรกิจต่อไปได้ 21.1% ต้องการความช่วยเหลือด้านอื่นๆ เช่น การจัดเรือท้องแบนเก็บขยะบริเวณสถานประกอบการ ระบบติดต่อสื่อสาร การลดหย่อนภาษี เป็นต้น
ทั้งนี้ ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต กล่าวว่า เอสเอ็มอี ไม่เหมือนกับบริษัทใหญ่ที่มีเงิน มีคน มีความรู้ มีทรัพยากรเพียงพอ แถมเอสเอ็มอีเองก็ไม่ได้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนเหมือนบริษัทในนิคมอุตสาหกรรม ที่มีการดูแลป้องกันอย่างเป็นระบบด้วยงบประมาณมหาศาล เอสเอ็มอีแต่ละรายก็เลยต้องรับมือกับน้ำท่วมด้วยตัวเอง จนถึงทุกวันนี้ แผนบริหารจัดการน้ำของรัฐ ยังไม่มีความชัดเจนว่า มีมาตรการอะไรไว้ช่วยเหลือเอสเอ็มอีบ้าง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ถ้าเกิดน้ำท่วมจริง ปีนี้เอสเอ็มอีเจ็บตัวหนักแน่นอน