ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 2555 การผลิตเซรามิกเพื่อการจำหน่ายในประเทศ จะมีมูลค่าประมาณ 26,800-27,500 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4-7(YOY) ดีขึ้นจากปี 2554 ที่ขยายตัวร้อยละ 5 (YOY) โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นฟูหลังน้ำลด จากการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย ตลอดจนการขยายตัวของธุรกิจก่อสร้างในต่างจังหวัดและจากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรม ที่จะส่งผลให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์เซรามิกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 2555 การผลิตเซรามิกเพื่อการจำหน่ายในประเทศ จะมีมูลค่าประมาณ 26,800-27,500 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4-7(YOY) ดีขึ้นจากปี 2554 ที่ขยายตัวร้อยละ 5 (YOY) โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นฟูหลังน้ำลด จากการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย ตลอดจนการขยายตัวของธุรกิจก่อสร้างในต่างจังหวัดและจากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรม ที่จะส่งผลให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์เซรามิกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
ส่วนตลาดส่งออก พบว่า ผลจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา อาจส่งผลทำให้มูลค่าการส่งออกชะลอตัวลงจากปีที่ผ่านมา โดยมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์เซรามิกในปี 2555 น่าจะมีมูลค่าประมาณ 520-550 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 0-5 (YOY) อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์วิกฤตหนี้ยุโรปและสหรัฐฯยืดเยื้อและยาวนาน ขยายวงกว้างจนกลายเป็นผลกระทบลักษณะลูกโซ่ต่อการค้าและการลงทุนไปยังภูมิภาคเอเซียและจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลัก ก็อาจจะส่งผลทำให้การส่งออกผลิตภัณฑ์เซรามิกของไทย มีมูลค่าต่ำลงมาอยู่ที่ระดับ 490-520 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 5-10 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่ผู้ประกอบการพึงระวังและต้องจับตามมองอย่างใกล้ชิด ได้แก่ จากการปรับขึ้นราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตและการขนส่ง รวมไปถึงการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน และการออกมาตรการกีดกันทางการค้าในรูปแบบของการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ออกมาใหม่อย่างต่อเนื่อง จากกลุ่มประเทศในสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปและญี่ปุ่น ที่อาจเป็นแรงกดดันให้ผู้ประกอบการต้องรับภาระต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นและเผชิญกับการแข่งขันกับสินค้านำเข้าที่เข้ามาตีตลาดในประเทศทวีความรุนแรงมากขึ้น
ดังนั้น การดำเนินธุรกิจในระยะข้างหน้า ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงด้านต้นทุนและค่าจ้างแรงงานที่มีแนวโน้มจะปรับสูงขึ้น โดยหันมาให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุน การผลิต เพื่อก่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างประหยัดและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด การพัฒนาผลิตภัณฑ์เซรามิกในเชิงคุณภาพเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างตราสินค้าให้เป็นที่รู้จักและยอมรับ สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เริ่มให้ความสำคัญในการเลือกซื้อสินค้า โดยพิจารณาด้านคุณภาพควบคู่กับปัจจัยทางด้านราคามากขึ้น
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรศึกษาลู่ทางในการขยายตลาด โดยเฉพาะตลาดอาเซียนซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลัก เพื่อเป็นการรองรับเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยการหาพันธมิตรทางการค้าที่จะมาช่วยสนับสนุนช่องทางการทำตลาดและจัดจำหน่ายในกลุ่มประเทศเหล่านี้ได้เพิ่มมากขึ้น