พาณิชย์ชง ครม.ของบ 400 ล้านช่วย SMEs เจอพิษบาทแข็ง

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ มีมติให้เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขอใช้เงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จำนวน 400 ล้านบาท เพื่อใช้ช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็ง ตลาดต่างประเทศชะลอตัว

 


นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ มีมติให้เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขอใช้เงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จำนวน 400 ล้านบาท เพื่อใช้ช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็ง ตลาดต่างประเทศชะลอตัว

โดยแบ่งการใช้เงินเป็น 2 ส่วน คือ 1.ใช้ทำโครงการ SME Proactive จำนวน 300 ล้านบาท กำหนดระยะเวลาการใช้ตั้งแต่ปี 2556-2558 และ 2.ใช้กรณีฉุกเฉินจำนวน 100 ล้านบาท เพื่อลดผลกระทบจากภาวะการค้าระหว่างประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กำหนดใช้เงินตั้งแต่ปี 2557-2558

“การใช้เงินกองทุนกำหนดว่าห้ามใช้เงินต้นที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 4,200 ล้านบาท แต่ให้ใช้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยแทน โดยดอกเบี้ยประมาณ 2% จะทำให้กองทุนมีเงินที่จะใช้จ่ายได้จริงเพียงปีละประมาณ 200 ล้านบาท แต่มีการเสนอโครงการจากภาคส่วนต่างๆ รวม 500 ล้านบาท และในปีที่ผ่านมา แม้จะเสนอของบประมาณเพื่อใช้จ่ายเพิ่ม แต่ไม่ได้รับอนุมัติ จึงต้องขอใช้เงินต้นบางส่วนจาก ครม.โดยจะนำเสนอในวันอังคารที่ 12 ก.พ.นี้ทันที” นายบุญทรงกล่าว

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้กำหนดให้ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาการบริหารเงินต้นของกองทุนให้ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ คือการใช้เงินดอกเบี้ยจากการฝากเงินอย่างเดียว ซึ่งผลการดำเนินการให้เสนอ ครม.พิจารณาก่อนมีผลทางปฏิบัติต่อไป โดยคณะกรรมการฯ ชุดนี้มีอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เป็นประธาน มีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ  เป็นกรรมการ เช่น สำนักงบประมาณ

รายงานข่าวแจ้งว่า รูปแบบการช่วยเหลือผ่านโครงการ SME Proactive กำหนดให้ช่วยลดใช้จ่ายของเอกชนในการออกไปทำตลาดต่างประเทศ เช่น การลดค่าเช่าบูธในงานแสดงสินค้าต่างๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการทำตลาดอื่น แต่ไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น เช่น ตั๋วเครื่องบิน

สำหรับสถานะกองทุนฯ ณ วันที่ 31 ต.ค.2555 มีเงินที่สามารถใช้จ่ายตามแผนพัฒนาและส่งเสริมการส่งออกปีงบประมาณ 2557 จำนวน 207.622 ล้านบาท เป็นเงินสดและเงินฝากธนาคารคงเหลือ 4,386.659 ล้านบาท หักเงินต้นที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้ตามมติ ครม.เมื่อปี 2555 และ 2533  จำนวน 3,642.992 ล้านบาท ทำให้มีเงินคงเหลือที่ใช้ได้ 743.667 ล้านบาท.

NEWS & TRENDS