ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์มูลค่าการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในปี 2556 น่าจะอยู่ที่ระดับ 6,700-7,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรืออยู่ระหว่างอัตราการหดตัวร้อยละ 5.0 ถึงทรงตัวในระดับใกล้เคียงกับปี 2555 โดยตลาดที่ยังมีแนวโน้มหดตัวอย่างต่อเนื่อง ยังคงเป็นตลาดคู่ค้าหลักในสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ จากการที่ผู้บริโภคยังอยู่ในมาตรการรัดเข็มขัด ในขณะที่ราคาสินค้าของไทยอยู่ในระดับสูง เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ทำให้คาดว่าคำสั่งซื้อจากตลาดกลุ่มนี้อาจจะหดตัวไปอีกสักระยะ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์มูลค่าการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในปี 2556 น่าจะอยู่ที่ระดับ 6,700-7,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรืออยู่ระหว่างอัตราการหดตัวร้อยละ 5.0 ถึงทรงตัวในระดับใกล้เคียงกับปี 2555 โดยตลาดที่ยังมีแนวโน้มหดตัวอย่างต่อเนื่อง ยังคงเป็นตลาดคู่ค้าหลักในสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ จากการที่ผู้บริโภคยังอยู่ในมาตรการรัดเข็มขัด ในขณะที่ราคาสินค้าของไทยอยู่ในระดับสูง เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ทำให้คาดว่าคำสั่งซื้อจากตลาดกลุ่มนี้อาจจะหดตัวไปอีกสักระยะ
แต่หากพิจารณาตลาดในภูมิภาคเอเชียอย่างอาเซียน และญี่ปุ่น พบว่า ตลาดกลุ่มนี้ยังคงให้ภาพทิศทางการเติบโตที่เป็นบวก และอาจกล่าวได้ว่า ตลาดสองกลุ่มนี้น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทยในระยะต่อไป โดยได้รับแรงส่งจากห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่เคลื่อนย้ายเข้ามาสนับสนุนภาคการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในภูมิภาคเพิ่มขึ้น ผลักดันให้ยอดการส่งออก ทั้งในกลุ่มสิ่งทอที่ใช้เป็นวัตถุดิบ และกลุ่มเครื่องนุ่งห่ม (จากความต้องการบริโภคสินค้าในกลุ่มแฟชั่นเครื่องแต่งกายที่เพิ่มขึ้น) ของไทยไปยังอาเซียนเติบโต ในขณะที่การเติบโตในตลาดญี่ปุ่น ก็ได้รับอานิสงส์จากการที่ญี่ปุ่นลดการพึ่งพาการนำเข้าจากจีน และหันมานำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สินค้าที่ต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงในปี 2556 ได้แก่ กลุ่มเครื่องนุ่งห่ม เพราะเป็นสินค้าพึ่งพาตลาดสหรัฐฯและยุโรปค่อนข้างสูง และไทยมีศักยภาพด้านการแข่งขันที่ลดลง ส่วนกลุ่มสิ่งทอ แม้ว่าจะชะลอตัวลงตามคำสั่งซื้อวัตถุดิบต้นน้ำจากคู่ค้าบางประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกสินค้าสำเร็จรูปไปยังปลายทางดังกล่าวเช่นเดียวกับไทย แต่คาดว่ามูลค่าการส่งออกน่าจะกลับมาพลิกฟื้นในช่วงครึ่งหลังปี 2556 ได้
อย่างไรก็ตาม ไทยจะต้องเผชิญแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกับคู่แข่งจากประเทศในภูมิภาคเดียวกันอย่างกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำและส่งออกรายสินค้าประเภทเดียวกัน อีกทั้งยังคงได้รับสิทธิพิเศษทางการค้าอยู่ และการก้าวผ่านแรงกดดันทางด้านต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน 300 บาททั่วประเทศ รวมถึงราคาสาธารณูปโภคและพลังงาน ตลอดจนการขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิต ซึ่งมีส่วนต่อการตัดสินใจขยายการลงทุนในธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในประเทศ เพราะอาจส่งผลต่อกำไรต่อหน่วยที่ลดลง ขณะที่ค่าเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มผันผวนในทิศทางแข็งค่า ยังส่งผลต่อราคาส่งออกและคำสั่งซื้อที่จะเข้ามาสู่ผู้ประกอบการในไทยลดลงด้วย
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาผลกระทบที่ผู้ประกอบการได้รับจากแรงกดดันดังกล่าวข้างต้น จะพบว่า ผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มจะได้รับผลกระทบแตกต่างกันไป ตามความสามารถในการส่งผ่านภาระต้นทุนและอำนาจในการต่อรอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว จะกระทบอย่างมากต่อผู้ประกอบการ SMEs (มีจำนวนมากกว่าร้อยละ 85 ของผู้ประกอบการทั้งหมดในอุตสาหกรรม) ที่มีขีดความสามารถในการปรับตัวต่ำกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่
แต่หากพิจารณาจากสัดส่วนรายได้จากการส่งออก จะพบว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ก็ยังมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกค่อนข้างสูง และมีศักยภาพในการปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมมากกว่าโดยกลุ่มที่คาดว่าจะสามารถอยู่รอดต่อไปได้ ได้แก่ กลุ่มผู้ประกอบการที่มีทางออกในการปรับตัว อาทิ การออกไปตั้งโรงงานในต่างประเทศเพื่อลดต้นทุน การขยายช่องทางการจำหน่ายในต่างประเทศ การพัฒนาความสามารถในการรับผลิตสินค้าที่รับคำสั่งซื้อได้หลากหลายรูปแบบ แม้ว่ายอดคำสั่งซื้อจะไม่มาก รวมถึงความสามารถในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เป็นต้น
ในขณะที่กลุ่มที่ต้องยอมรับว่าอยู่รอดได้ยาก และจำเป็นต้องเร่งปรับตัวอย่างเร่งด่วน คือ กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ยังรับจ้างผลิตสินค้าที่ต้องแข่งขันด้านราคา ไม่มีศักยภาพในการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ และมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการปิดกิจการ และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน