เมื่อวันก่อนผมสอนหลักสูตร Storytelling ให้กับกลุ่มผู้บริหารและผู้ประกอบการจำนวนหนึ่ง
ในคลาสมีการเล่าเรื่องเพื่อฝึกฝนพัฒนาทักษะกันอย่างออกรสออกชาติ มีเรื่องราวดีๆ ที่น่าประทับใจหลายเรื่อง
วันนี้อยากนำเรื่องหนึ่งซึ่งน่าจะเหมาะกับยุคสมัยที่อะไรๆ ก็ดูติดขัดและมีปัญหาไปหมด ไม่ว่าจะเป็น โรคระบาดร้ายแรง ข้าวของแพงหู่ฉี่ การเมืองวุ่นวายแสนสาหัส จนดูเหมือนว่าความสุขจะหาได้ยากมากขึ้น มาเล่าให้ฟัง
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อนานมากแล้ว ในเมืองๆ หนึ่งซึ่งมีพระราชาเป็นผู้ปกครองและมีขุนนางคู่ใจคอยให้คำปรึกษาอยู่ข้างๆ เสมอ
อยู่มาวันหนึ่งเกิดภาวะแห้งแล้ง ผลผลิตไม่พอกับความต้องการ พระราชาจึงถามขุนนางคู่ใจว่าเจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ขุนนางตอบว่า “ก็ดีแล้วพ่ะยะค่ะ วัวควายจะได้พักผ่อนหลังจากกรำงานหนักมานาน”
ผ่านไปอีกไม่นาน พระราชาออกไปล่าสัตว์พร้อมกับขุนนางคู่ใจ และเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อขุนนางเกิดพลาดทำดาบหลุมมือ ไปโดนนิ้วก้อยเท้าขวาของพระราชาขาด พระองค์ทรงโกรธมาก จึงถามขุนนางว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรกับเรื่องนี้”
ขุนนางตอบว่า “ก็ดีแล้วพ่ะยะค่ะ เพราะขายังไม่ขาด เสียเพียงนิ้วก้อยไปนิ้วเดียว” พอได้ฟังดังนั้นพระราชาก็ทรงกริ้วมาก สั่งให้ทหารจับขุนนางขังคุกทันที
หลังจากนั้นไม่นาน พระราชาจำเป็นต้องเดินทางไปต่างแดนแต่คราวนี้ไม่มีขุนนางคู่ใจไปด้วย แล้วเรื่องร้ายก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อชนเผ่ากินคนมาล้อมขบวนเสด็จและจับพระราชารวมทั้งไพร่พลของพระองค์ไปเพื่อเตรียมทำอาหาร
เคราะห์ร้ายไปกว่านั้น ชนเผ่ากินคนต้องการจับพระราชามาทำอาหารกินเป็นคนแรก เดชะบุญที่หัวหน้าเผ่าเหลือบไปเห็นว่าพระราชานิ้วเท้าไม่ครบจึงปล่อยตัวไป เพราะเชื่อว่ามนุษย์ที่ร่างกายไม่สมประกอบ เมื่อนำมาทำอาหารจะเป็นกาลกิณี ไม่มีสิริมงคล พระราชาจึงรอดพ้นความตายมาได้แบบหวุดหวิด
พระองค์จึงทรงรีบเสด็จกลับเมือง เมื่อได้มีเวลามานั่งคิดทบทวน ก็หวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ขุนนางพลาดทำดาบหลุดมือเป็นเหตุให้นิ้วก้อยเท้าของพระองค์ขาดไป ณ ตอนนั้นคิดว่าเป็นโชคร้ายแต่กลับกลายเป็นโชคดี เลยรีบรับสั่งให้คนปล่อยตัวขุนนางที่ถูกจองจำไว้และให้มาเข้าเฝ้า
พระองค์ได้ทรงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ขุนนางฟังและกล่าวขอโทษที่ตัดสินจำคุกขุนนางไป จากนั้นทรงถามขุนนางว่า “เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้” ขุนนางตอบว่า “ก็ดีแล้วพระยะค่ะ”
พระราชารู้สึกงงกับคำตอบ จึงตรัสถามว่า “ดีอย่างไร” ขุนนางตอบว่า “ถ้าข้าฯ ไม่ถูกขังคุก ก็คงต้องไปกับพระองค์ และก็คงถูกชนเผ่ากินคนรับประทานไปพร้อมกับพระองค์เรียบร้อยแล้ว”
ฟังเรื่องนี้จบ ผมแอบอมยิ้มเล็กๆ และใคร่ครวญคิดได้ว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ทัศนคติและวิธีการมองโลกของเราเท่านั้นที่จะเห็นว่ามันเป็นสุขหรือทุกข์ โชคดีหรือโชคร้าย ทั้งหมดอยู่ที่เรามอง
ดังนั้นสถานการณ์ความวุ่นวาย ความยากลำบากที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองและประเทศชาติของเราทุกวันนี้ จะดีหรือร้าย ก็ขึ้นอยู่กับความคิดและทัศนคติของเราเองเท่านั้น
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี