SME ไทยจะรับมือยังไง เมื่อบริษัทจีนเข้ามาตีตลาด

TEXT : ภัทร เถื่อนศิริ

     ในหลายอุตสาหกรรมของไทยในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าได้รับผลกระทบของการแข่งขันจากการที่บริษัทจีนเข้ามาแข่งขันอย่างมาก ทั้งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีการหมุนวนของเม็ดเงินในบริษัทของคนจีนเอง อุตสาหกรรมรถยนต์ที่รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเข้ามาแข่งขันอย่างรุนแรงจนกระทบกระเทือนตลาดรถยนต์มือสองจนบริษัทใหญ่ก็มีการปิดตัวลงไป แม้กระทั่งในงานสถาปนิก 67 ที่เห็นบริษัทจีนมาเปิดบูทเองกว่า 40% การที่บริษัทจีนเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในงานสถาปนิก 67 ทั้งหมดทั้งมวลอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของไทยได้หลายด้าน ดังนี้

ผลกระทบบริษัทจีนเข้ามาเปิดบริษัทในไทย

     1.การแข่งขัน - บริษัทจีนอาจมีต้นทุนแรงงานและวัสดุก่อสร้างที่ถูกกว่า ทำให้สามารถเสนอราคาได้ต่ำกว่าบริษัททั้งภายในและต่างประเทศรายอื่นๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงกดดันในการแข่งขันให้กับบริษัทไทย

     2.การถ่ายทอดเทคโนโลยี - บริษัทจีนอาจนำเทคนิคและนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาในประเทศ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้บริษัททั้งภายในและต่างประเทศต้องปรับตัวและพัฒนาตามไปด้วย

     3.การจ้างงาน - หากบริษัทจีนประสบความสำเร็จในการรับงานในไทยมากขึ้น อาจมีการนำแรงงานจากจีนเข้ามาทำงานในไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อการจ้างงานของแรงงานไทย

     4.การร่วมทุน - บริษัทจีนอาจมองหาโอกาสในการร่วมทุนกับบริษัททั้งภายในและต่างประเทศ เพื่อแบ่งปันความเสี่ยงและผลประโยชน์ร่วมกัน

     5.มาตรฐานคุณภาพ - มาตรฐานคุณภาพของบริษัทต่างชาติอาจแตกต่างกันไป ดังนั้นจึงต้องมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดเพื่อรักษามาตรฐาน

     โดยรวมแล้ว การเข้ามาของนักลงทุนจีนทำให้เกิดทั้งโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ สำหรับธุรกิจไทย บริษัทไทยจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อความอยู่รอด การร่วมมือระหว่างบริษัทไทยและต่างชาติอาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

SME ควรปรับตัวอย่างไร?

     สำหรับธุรกิจ SME ไทยที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากบริษัทต่างชาติรายใหญ่ เช่น บริษัทจีน นี่คือข้อเสนอแนะบางประการที่อาจช่วยให้อยู่รอด:

     1.สร้างความแตกต่างและจุดเด่น (Differentiation & Unique Selling Point)

     -มุ่งเน้นคุณภาพและการบริการที่เป็นเลิศ

     -พัฒนานวัตกรรมและสร้างสรรค์สินค้า/บริการใหม่ๆ

     -เจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะ (Niche Market) ที่บริษัทใหญ่ยังมองข้าม

     2.พัฒนาเครือข่ายและสร้างพันธมิตร

     -ร่วมมือกับ SME อื่นๆ เพื่อลดต้นทุนและเสริมศักยภาพ

     -หาพันธมิตรทางธุรกิจที่สามารถเติมเต็มซึ่งกันและกัน

     -สร้างเครือข่ายกับนักวิชาการและหน่วยงานภาครัฐ

     -SME ควรสร้างเครือข่ายและรวมกลุ่มกันเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและแบ่งปันทรัพยากรซึ่งกันและกัน

     -การรวมกลุ่มจะช่วยให้สามารถประหยัดต้นทุนจากการสั่งซื้อวัตถุดิบรวม การแบ่งปันข้อมูล และการเข้าถึงเงินทุนได้ง่ายขึ้น

     3.ตลาดออนไลน์และการตลาดดิจิทัล

     -พัฒนาช่องทางจำหน่ายออนไลน์เพื่อขยายฐานลูกค้า

     -ใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการสร้างแบรนด์และการตลาด

     -SME ควรนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ เช่น e-Commerce, big data, AI เป็นต้น

     -เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการดำเนินงานได้อย่างมาก

     4.เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน

     -ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

     -ลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อลดต้นทุน

     5.การเน้นตลาดส่งออก

     -SME ไทยไม่ควรพึ่งพาเพียงแค่ตลาดในประเทศ แต่ควรมองหาโอกาสในการส่งออกสินค้าและบริการไปยังตลาดต่างประเทศด้วย

     -การเข้าสู่ตลาดโลกจะเปิดโอกาสในการเติบโตและเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจ

     6.การเน้นธุรกิจที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

     -แนวโน้มความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนกำลังมาแรง

     -SME ที่สามารถปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจสีเขียวจะได้เปรียบในการแข่งขัน

     7.พัฒนาบุคลากร

     -การลงทุนในการพัฒนาบุคลากรเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจ

     -SME ควรสนับสนุนการฝึกอบรมและการเรียนรู้ตลอดชีวิตของพนักงาน

     -ลงทุนในการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะของพนักงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มผลิตภาพและรองรับการเติบโตของธุรกิจ

     8.ศึกษาข้อมูลและปรับกลยุทธ์

     -ติดตามข่าวสาร แนวโน้มตลาด และกฎระเบียบที่อาจมีผลกระทบ

     -วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อนของคู่แข่งและปรับกลยุทธ์ตลอดเวลา

     เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนให้ธุรกิจ SME ไทยสามารถแข่งขันและอยู่รอดได้ ภาครัฐควรดำเนินนโยบายและมาตรการดังต่อไปนี้

     1.ส่งเสริมนวัตกรรมและพัฒนาศักยภาพทางเทคโนโลยี

     -จัดสรรงบประมาณสำหรับการวิจัยและพัฒนา (R&D) แก่ SME

     -สนับสนุนการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ 

     -จัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาและถ่ายทอดนวัตกรรม

     2.ส่งเสริมการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ

     -จัดงานแสดงสินค้าและเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

     -พัฒนาความร่วมมือทางการค้าและลงทุนกับต่างประเทศ

     -ให้ความช่วยเหลือด้านการตลาดและการส่งออก

     3.ปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ

     -ลดขั้นตอนทางกฎหมายและภาระภาษีที่เป็นอุปสรรค

     -พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและดิจิทัล

     -ส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและการลงทุน

     4.สนับสนุนการรวมกลุ่มและสร้างเครือข่ายธุรกิจ

     -จัดตั้งและสนับสนุนการรวมกลุ่มและสมาคมการค้า

     -ส่งเสริมการสร้างคลัสเตอร์และห่วงโซ่อุปทาน

     -สนับสนุนเครือข่ายระหว่างภาครัฐ-เอกชน-สถาบันการศึกษา

     5.พัฒนาทักษะและองค์ความรู้ทางธุรกิจ

     -จัดฝึกอบรมและพัฒนาผู้ประกอบการและแรงงาน

     -ส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต

     -สนับสนุนการถ่ายทอดองค์ความรู้จากผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ

     การดำเนินนโยบายที่ครอบคลุมทั้งด้านนวัตกรรม การตลาด กฎระเบียบ การเงิน และการพัฒนาบุคลากร จะช่วยยกระดับขีดความสามารถของ SME ไทยให้แข็งแกร่งพอรับมือกับการแข่งขันในตลาดโลกได้

ธุรกิจ SME ไทยจะสามารถอยู่รอดได้กี่เปอร์เซ็นต์ในสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบัน ?

     อย่างไรก็ตาม การประเมินตัวเลขที่แน่นอนนั้นเป็นเรื่องยากเนื่องจากมีปัจจัยหลายประการเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ดี ผมขอวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญบางประการที่จะส่งผลต่ออัตราการอยู่รอดของธุรกิจ SME ไทย ดังนี้

     ปัจจัยบวก ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการอยู่รอด

     1.ความสามารถในการปรับตัว ธุรกิจ SME มีขนาดเล็กจึงมีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ง่ายกว่าองค์กรขนาดใหญ่

     2.นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ การคิดนอกกรอบและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ จะทำให้โดดเด่นจากคู่แข่ง

     3.การเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม SME สามารถเน้นกลุ่มลูกค้าเฉพาะได้ดีกว่าบริษัทขนาดใหญ่

     4.การสนับสนุนจากภาครัฐ หากรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุน SME อย่างเหมาะสม

     ปัจจัยลบ ที่จะท้าทายการอยู่รอด

     1.ข้อจำกัดด้านเงินทุนและทรัพยากร SME มักประสบปัญหาการขาดแคลนเงินลงทุนและทรัพยากรบุคคล

     2.การแข่งขันจากบริษัทข้ามชาติ ที่มีความได้เปรียบด้านต้นทุนและประสบการณ์

     3.ความไม่พร้อมด้านเทคโนโลยี การขาดการลงทุนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ จะทำให้เสียเปรียบคู่แข่ง

     4.การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะ สภาวะการขาดแคลนแรงงานมีทักษะสูงในบางสาขา

     โดยสรุป หากธุรกิจ SME ไทยสามารถปรับตัว นำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ สร้างนวัตกรรม เจาะกลุ่มที่ถนัด และได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเหมาะสม โอกาสในการอยู่รอดน่าจะอยู่ที่ระดับ 40-60% แต่หากไม่สามารถปรับตัวและขาดการสนับสนุน อัตราการอยู่รอดอาจลดลงเหลือเพียง 20-30% เท่านั้น เนื่องจากสภาพการแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบัน

     ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ SME ต้องตื่นตัว ปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง และได้รับการส่งเสริมจากนโยบายสาธารณะที่เหมาะสมจากทุกภาคส่วน ทั้งหมดนี้จะเป็นกุญแจสู่การอยู่รอดและประสบความสำเร็จของธุรกิจ SME ไทยในระยะยาว

แหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม:

-OSMEP SMEs Proactive Strategies (www.sme.go.th)

-สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (www.ismed.go.th)

-SME Competitive Enhancement for Thai Trade (www.thaismefair.com)

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MANAGEMENT

ESG จะเปลี่ยนความเสี่ยงเป็นโอกาสธุรกิจได้อย่างไร

แม้คำว่า ESG (Environment, Social, Governance) จะฟังดูเป็นเรื่องใหญ่โตและต้องใช้เงินลงทุน แต่แท้จริงแล้วเอสเอ็มอี ก็สามารถทำได้ เพราะนี่คือโอกาสและความท้าทายครั้งสำคัญในการดำเนินธุรกิจ   

4 เครื่องมือช่วย “ตัดสินใจ” ที่ผู้ประกอบการต้องรู้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า

หากมีทางเลือกอยู่หลายทาง แล้วทางไหนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ และข้อผิดพลาดน้อยที่สุด SME Thailand เลยอยากจะแนะนำเครื่องมือที่ช่วยให้การตัดสินใจที่มีความรอบคอบและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด