เจาะลึกแนวคิด Work Life Balance องค์กรที่อยากมัดใจ Gen Z ต้องรู้ เมื่อเงินเดือนไม่ใช่ข้อเรียกร้องสูงสุด

TEXT: ภัทร เถื่อนศิริ

     แนวคิดการทำงานของ Gen Z เป็นประเด็นที่น่าสนใจมาก เนื่องจากมีความแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเรื่อง Work Life Balance ที่กลุ่มคน Gen Z ส่วนใหญ่มองว่า Work Life Balance เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะต้องการมีเวลาให้กับชีวิตส่วนตัว งานอดิเรก และสุขภาพจิตใจ ไม่ยอมทำงานหนักจนเกินไปเหมือนรุ่นก่อน ทำให้มีแรงจูงใจในการทำงานดี และมีความสุขในการใช้ชีวิตมากขึ้น

     อย่างไรก็ตาม บางคนมองว่า Gen Z อาจขาดความมุ่งมั่น ทุ่มเทให้กับงานน้อยเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อความก้าวหน้าในอาชีพและผลงาน

     ดังนั้น Work Life Balance แนวคิดนี้ช่วยสร้างสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวได้ดี แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้ไปเบี่ยงเบนจากเป้าหมายหลักของงานมากเกินไปด้วย ต้องมีการปรับทัศนคติของทั้งนายจ้างและลูกจ้างให้เข้ากันมากขึ้น

     สุดท้ายนี้เป็นเพียงมุมมองส่วนตัว แต่ละคนอาจมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไปตามประสบการณ์และค่านิยม เรื่องนี้ยังไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิดชัดเจน

ทำไม Work Life Balance ถึงไม่ค่อยเวิร์กในไทย

     ข้อผิดพลาดหลักๆ ของการนำแนวคิด Work Life Balance มาปฏิบัติในบริบทของประเทศไทยที่ผมมองเห็นมีดังนี้

     1.การขาดความเข้าใจที่ถูกต้องในแนวคิด Work Life Balance หลายองค์กรมองว่าเป็นเพียงการลดเวลาการทำงานลง แต่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องของการสร้างสมดุลชีวิตให้เหมาะสม

     2.การขาดความร่วมมือระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง บางองค์กรอาจมีนโยบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พนักงานเองอาจยังคงยึดติดกับวัฒนธรรมการทำงานแบบเดิม ส่งผลให้นโยบายไม่ประสบความสำเร็จ

     3.ขาดการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง หากผู้นำองค์กรเองไม่เห็นความสำคัญและไม่เป็นแบบอย่างที่ดี ก็จะทำให้การนำแนวคิดนี้ไปใช้ประสบปัญหา

     4.การขาดกิจกรรมและสวัสดิการที่เหมาะสม หลายองค์กรอาจประกาศหลักการ แต่ไม่มีการนำไปปฏิบัติด้วยกิจกรรมและสิ่งจูงใจที่เป็นรูปธรรม

     5.วัฒนธรรมการทำงานหนักแบบเก่า การปรับเปลี่ยนมาใช้แนวคิดใหม่ก็เป็นเรื่องยากสำหรับสังคมที่คุ้นเคยกับการทำงานหนักเป็นประจำ

     6.การขาดการเผยแพร่และให้ความรู้ที่ถูกต้อง ประชาชนและองค์กรจำนวนมากยังขาดความเข้าใจในรายละเอียดและประโยชน์ของแนวคิดนี้อย่างถูกต้อง

     ดังนั้นเพื่อให้การนำแนวคิด Work Life Balance ไปใช้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งผู้นำ นายจ้าง ลูกจ้าง เข้าใจอย่างถูกต้อง และปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน

ปรับ Work Life Balance ให้โดนใจ Gen Z

     ถ้าผมเป็นเจ้านายของพนักงาน Gen Z ที่มีแนวคิดเรื่อง Work Life Balance อย่างนี้ ผมจะใช้วิธีการดังต่อไปนี้เพื่อสร้างแรงจูงใจและความมุ่งมั่นในการทำงาน:

     1.สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี มีบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ยืดหยุ่น และเป็นกันเอง ช่วยให้พนักงานรู้สึกสบายใจและมีความสุขในการทำงาน

     2.ให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว เช่น ยืดหยุ่นเรื่องเวลาทำงาน ให้ลาพักผ่อนได้ตามสมควร จัดกิจกรรมสันทนาการ เพื่อให้พนักงานมีแรงบันดาลใจและมีกำลังใจในการทำงาน

     3.กำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ท้าทายแต่สามารถทำได้ หลีกเลี่ยงการกดดันมากเกินไป ให้รางวัลและการยอมรับเมื่อทำงานสำเร็จ

     4.สร้างบรรยากาศการทำงานแบบมีส่วนร่วม รับฟังความคิดเห็น ให้โอกาสแสดงความคิดสร้างสรรค์ เปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้และพัฒนาตนเอง

     5.เป็นแบบอย่างที่ดี โดยแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการงานและชีวิตส่วนตัวได้อย่างสมดุล

     6.สื่อสารให้เข้าใจถึงเป้าหมายและทิศทางขององค์กร เพื่อให้เห็นภาพรวมและความสำคัญของงานที่ทำอยู่ สร้างความรู้สึกภาคภูมิใจ

     วิธีเหล่านี้จะช่วยสร้างแรงจูงใจ ความผูกพัน และทัศนคติเชิงบวกต่องานให้กับ Gen Z ได้ โดยไม่ต้องกดดันจนเกินไป พวกเขาจะทุ่มเททำงานด้วยความกระตือรือร้นมากขึ้น

รู้จัก Work Life Integration

     Work Life Integration เป็นแนวคิดที่พัฒนามาจากแนวคิด Work Life Balance โดยมองว่าการแบ่งแยกระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวอย่างชัดเจนนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก

     แทนที่จะพยายามสร้างดุลยภาพระหว่างสองส่วนนี้ Work Life Integration จึงมุ่งเน้นที่การผสมผสานและบูรณาการงานเข้ากับชีวิตส่วนตัวให้เป็นหนึ่งเดียว โดยไม่แบ่งแยกอย่างเด็ดขาด

     หลักการสำคัญของ Work Life Integration คือ

     1.ยืดหยุ่นในเรื่องเวลาและสถานที่ทำงาน เช่น Work from Home, Flexible Hours

     2.การนำเทคโนโลยีมาช่วยในการทำงาน เพื่อให้สามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา

     3.การมีส่วนร่วมของครอบครัวในงานบางช่วง เช่น การทำ Family Day

     4.ลดความกดดันให้น้อยลง โดยมองว่างานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่สิ่งแยกขาดจากกัน

     แนวคิดนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากสอดคล้องกับวิถีการใช้ชีวิตยุคใหม่ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทำให้ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกงานและชีวิตส่วนตัวอย่างเด็ดขาด

     อย่างไรก็ตาม ก็ต้องระวังไม่ให้ Work Life Integration ทำให้ไม่มีพื้นที่ส่วนตัวจนเกินไปด้วยเช่นกัน ควรมีการปรับวิธีคิดและการจัดการอย่างเหมาะสม

สุดท้ายแล้ว แนวคิดชีวิตการทำงานของแต่ละบุคคลนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยดังนี้

     1.ค่านิยมและความเชื่อส่วนบุคคล บางคนให้ความสำคัญกับงานเป็นหลัก บางคนเน้นชีวิตส่วนตัวมากกว่า ซึ่งมาจากการหล่อหลอมจากปัจจัยต่างๆ เช่น ครอบครัว การศึกษา ประสบการณ์ชีวิต

     2.ช่วงวัยและสถานภาพ ในวัยหนุ่มสาวอาจมุ่งมั่นกับงานมากกว่า แต่เมื่อแต่งงานมีครอบครัวแล้วอาจต้องการสมดุลมากขึ้น และต่อเมื่ออายุมากขึ้นอีกอาจเน้นคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้น

     3.ลักษณะงานและสภาพแวดล้อมการทำงาน งานบางประเภทต้องทุ่มเทเวลามาก บางงานให้ความยืดหยุ่นสูง ซึ่งส่งผลต่อการจัดสมดุลได้

     4.สถานะทางสังคมและเศรษฐกิจ ผู้ที่มีฐานะดีและมั่นคงอาจเลือกให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตได้มากกว่า

     5.วัฒนธรรมองค์กรและสังคม หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการทำงานหนัก วัฒนธรรมการทำงานก็จะตามไปด้วย

     6.เทคโนโลยีและโลกยุคใหม่ เทคโนโลยีทำให้การทำงานนอกสถานที่เป็นไปได้ง่ายขึ้น จึงมีผลต่อแนวคิดด้วย

     ดังนั้นพฤติกรรมและแนวคิดของแต่ละบุคคลจึงเป็นผลรวมของปัจจัยเหล่านี้ ทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยแวดล้อมภายนอก แนวคิดเหล่า Work Life Balance, Integration จึงเป็นเพียงทางเลือกให้พิจารณาตามความเหมาะสมเท่านั้น ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวสำหรับทุกคน

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MANAGEMENT

ESG จะเปลี่ยนความเสี่ยงเป็นโอกาสธุรกิจได้อย่างไร

แม้คำว่า ESG (Environment, Social, Governance) จะฟังดูเป็นเรื่องใหญ่โตและต้องใช้เงินลงทุน แต่แท้จริงแล้วเอสเอ็มอี ก็สามารถทำได้ เพราะนี่คือโอกาสและความท้าทายครั้งสำคัญในการดำเนินธุรกิจ   

4 เครื่องมือช่วย “ตัดสินใจ” ที่ผู้ประกอบการต้องรู้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า

หากมีทางเลือกอยู่หลายทาง แล้วทางไหนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ และข้อผิดพลาดน้อยที่สุด SME Thailand เลยอยากจะแนะนำเครื่องมือที่ช่วยให้การตัดสินใจที่มีความรอบคอบและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด