วิธีรับมือวัตถุดิบพุ่ง ขนส่งแพง จากสองเอ็มอีที่ใช้ Data และเทคโนโลยี ช่วยแก้ปัญหาธุรกิจส่งออก

 

     ต้นทุนก็แพง ค่าขนส่งก็สูง ค่าเงินยังผันผวนไม่มีความแน่นอนอีก ต้องบอกว่าปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อธุรกิจนำเข้าและส่งออกอย่างเต็มๆ

     ถ้ามัวแต่กังวลก็อาจทำให้ธุรกิจไม่เติบโต ลองไปดูวิธี  “ลดหรือปิดความเสี่ยง” จาก 2 เอสเอ็มอีที่ทำธุรกิจส่งออกที่ใช้ทั้ง Data และเทคโนโลยีมาช่วยแก้ปัญหาได้อย่างไร

จัดการต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ด้วยข้อมูล

     เริ่มจาก บริษัท ฟู้ด อีควิปเม้นท์ จำกัด ดำเนินธุรกิจจำหน่ายเครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร  กล่าวว่า บริษัทมีธุรกรรมทั้งการผลิต นำเข้าและส่งออก ในช่วงที่ผ่านมาจึงได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และผลกระทบจากต้นทุนค่าขนส่ง และต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น

     ศิลินลักษ์ ตุลยานันต์ ประธานกรรมการบริหาร กล่าวว่า การจัดการต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนั้น บริษัทจะใช้วิธี “วิเคราะห์ข้อมูล” (Data) จากสถิติย้อนหลังและแนวโน้มในอนาคตในระดับเอสเคยู ผ่านโปรแกรม ERP (Enterprise Resource Planning ) ซึ่งเป็นระบบจัดการและวางแผนการใช้ทรัพยากรที่เชื่อมโยงระบบงานต่างๆ ตั้งแต่บัญชี และการเงิน ระบบงานทรัพยากรบุคคล ระบบบริหารการผลิต รวมถึงระบบการกระจายสินค้า เพื่อคาดการณ์คำสั่งซื้อในอนาคต ก่อนจะสั่งซื้อวัตถุดิบและการขนส่งสินค้าเป็นล็อตใหญ่ล่วงหน้าเพื่อลดต้นทุนดำเนินการ หรือแม้แต่นำปริมาณซื้อ (Volume) ไปเจรจากับคู่ค้าเพื่อขอต่อรองซื้อวัตถุดิบเป็นขั้นบันไดในราคาที่ลดลงมา

     “หน้าที่ของบริษัทในปีนี้คือทำอย่างไรก็ได้ให้เอาชนะโควิด ต้องตีลังกาท่าไหนถึงจะอยู่รอด และเติบโตไปได้ คือสิ่งที่ท้าทายเรามากกว่าที่จะมาวนเวียนคิดเรื่องจะขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ถ้าเราสามารถเพิ่มวอลุ่ม หาตลาด เพิ่มยอดขาย หาตลาดใหม่ๆ ได้ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า”

สร้างอำนาจต่อรอง

     บริษัท ทรอปิคานา ออยล์ จำกัด ผู้ผลิตและแปรรูปมะพร้าวเป็นน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น และสกินแคร์ ส่งออกและขายในประเทศ ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนค่าขนส่ง ต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน 

     ณัฐธนภัสสร์ ไชยรินทร์ ผู้จัดการแผนกธุรกิจระหว่างประเทศ กล่าวว่า นอกจากบริษัทจะใช้วิธีวางแผนการจัดการวัตถุดิบล่วงหน้าจับคู่กับคำสั่งซื้อในอนาคตเพื่อลดต้นทุนแล้ว อีกวิธีการที่ใช้คือการ จัดหาซัพพลายเออร์มากกว่า 1 ราย (Second Sources) เพื่อสร้างอำนาจต่อรองทางการค้า โดยนำราคาวัตถุดิบมาประมูลว่ารายได้ให้ราคาต่ำกว่าในสเปคเดียวกัน

ใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนในระยะยาว

     ณัฐธนภัสสร์ กล่าวเพิ่มว่า อีกหนึ่งวิธีของบริษัท ทรอปิคานา คือการปรับโครงสร้างการผลิตให้เป็นออโตเมชั่นมากขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ทดแทนแรงงานที่หายากมากขึ้น ซึ่งกำลังเป็นปัญหาสำคัญในสายการผลิตของประเทศไทย ผลที่ได้รับคือ สามารถสร้างผลผลิตที่เพิ่มขึ้นและมีมาตรฐาน และยังเป็นการลดต้นทุนแรงงานในระยะยาว พร้อมไปกับการกลยุทธ์เพิ่มยอดขาย เจาะตลาดส่งออกที่มีศักยภาพ

SME ไทยรับมือค่าเงินผันผวนอย่างไร

     ดร.ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวในงานสัมมนา “SME OF THE FUTURE อนาคต SMEs ไทยไปต่ออย่างไรดี ว่า ในช่วงที่ผ่านมาภาคธุรกิจเผชิญกับสถานการณ์ราคาพลังงาน ภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น กระทบต่อต้นทุนดำเนินธุรกิจ แต่ในข่าวร้ายก็เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์ราคาพลังงานโลก สินค้าโภคภัณฑ์และค่าขนส่งเริ่มปรับตัวลดลงและอาจผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ยังต้องระวังเนื่องจากถึงแม้ทิศทางราคาพลังงานและเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงแต่จะยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง สร้างแรงกดดันให้ธนาคารกลางในหลายประเทศยังจำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง เพื่อแตะเบรกเศรษฐกิจและควบคุมเงินเฟ้อ

     อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลคือ ความต้องการซื้อ (Demand) ในหลายประเทศลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งจากมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกและคู่ค้าหลักของไทยอย่างสหรัฐอเมริกา และจีน ที่เริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวลง เมื่อเทียบกับภูมิภาคตะวันออกกลางและอาเซียนยังเติบโต ทำให้การส่งออกในระยะถัดไปมีแนวโน้มชะลอตัว

     แพททริก ปูเลีย Head of Financial Markets Function ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน โดยช่วงที่ผ่านมาค่าเงินบาทอ่อนค่าลงค่อนข้างมาก สถานการณ์ดังกล่าว ผู้ประกอบการธุรกิจนำเข้าและส่งออก ควรให้ความสำคัญกับการ “ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน” (Hedging) เพื่อล็อกราคา ลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจที่อาจประสบภาวะขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน

     “ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีส่งออกและนำเข้า กลุ่มที่ได้ตกลงซื้อขายสินค้าไปแล้ว และเห็นว่ามีกำไร (Margin) เพียงพอ ควรทำการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไว้ในสัดส่วน 100% เพราะไม่มีเหตุผลที่ต้องรอราคา  ส่วนกลุ่มที่ขายสินค้าแล้วแต่อัตราแลกเปลี่ยนยังไม่ครอบคลุมกำไรที่ต้องการ แนะว่าควรทำการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน สัดส่วน 50-70% เพื่อปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนบางส่วน  ขณะที่กลุ่มสุดท้ายคือ กลุ่มที่รู้ว่าจะขายสินค้าได้ แต่ไม่รู้ว่าจะขายได้เมื่อไหร่ แนะว่าเมื่อผู้ประกอบการประเมินแล้วว่าจะขายสินค้าได้ ก็ควรจะทำการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไว้ในสัดส่วนอย่างน้อย 50% เพื่อรอดูสถานการณ์ในอีก 3-6 เดือนข้างหน้าว่าราคาขายสินค้าควรเป็นเท่าไหร่”

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

 

 

RECCOMMEND: MANAGEMENT

ESG จะเปลี่ยนความเสี่ยงเป็นโอกาสธุรกิจได้อย่างไร

แม้คำว่า ESG (Environment, Social, Governance) จะฟังดูเป็นเรื่องใหญ่โตและต้องใช้เงินลงทุน แต่แท้จริงแล้วเอสเอ็มอี ก็สามารถทำได้ เพราะนี่คือโอกาสและความท้าทายครั้งสำคัญในการดำเนินธุรกิจ   

4 เครื่องมือช่วย “ตัดสินใจ” ที่ผู้ประกอบการต้องรู้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า

หากมีทางเลือกอยู่หลายทาง แล้วทางไหนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ และข้อผิดพลาดน้อยที่สุด SME Thailand เลยอยากจะแนะนำเครื่องมือที่ช่วยให้การตัดสินใจที่มีความรอบคอบและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด