ถ้าวันหนึ่งพนักงานในองค์กรของเราติดโควิด เราจะรับมือกับเหตุการณ์นี้อย่างไร?
นี่คงไม่ใช่สถานการณ์ที่องค์กรไหนต้องการให้เกิด แต่ก็คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยากในยุคที่แทบทุกพื้นที่ในการทำงานเต็มไปด้วยความเสี่ยง โดยเฉพาะกับงานที่ต้องออกไปพบปะลูกค้า หรือเกี่ยวข้องกับผู้คนมากมาย เหมือนกับงานที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม อย่าง บริษัท ยูไนเต็ด แอนนาลิสต์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแตนท์ จำกัด หรือ UAE ธุรกิจที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมให้กับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ผู้นําการให้บริการสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจร (Environmental One-Stop Service) ทั้งในประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียน
ใครจะคิดว่าวันหนึ่งพนักงานของพวกเขาจะติดโควิด สำหรับ “ศุภรัตน์ โชติสกุลรัตน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูไนเต็ด แอนนาลิสต์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแตนท์ จำกัด (UAE) เธอรับมือกับเรื่องนี้ด้วยการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
รับมือวิกฤตที่เคาะประตูบริษัทแบบไม่ทันตั้งตัว
ทันทีที่ได้รับข่าวว่าหนึ่งในพนักงานของบริษัทติดเชื้อโควิด-19 ผู้นำอย่าง ศุภรัตน์ เลือกรับมือกับสถานการณ์อย่างมีสติ เธอบอกว่า ถึงเวลาพิสูจน์การเป็นองค์กรที่ให้บริการอย่างมืออาชีพควบคู่จรรยาบรรณวิชาชีพ และปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกสถานการณ์ ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ
“UAE ได้รับผลกระทบภายในองค์กร คือ เราพบพนักงานติดเชื้อ ในช่วงแรกๆ ของการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยสิ่งแรกที่เราทำ คือการป้องกันดูแลพนักงานคนอื่นๆ ให้ปลอดภัย เพราะพนักงานต้องออกไปปฏิบัติงานนอกพื้นที่ พร้อมทั้งให้กำลังใจและดูแลพนักงานที่ติดเชื้ออย่างดี และสื่อสารกับลูกค้าถึงวิธีการบริหารสภาวะวิกฤตอย่างโปร่งใส เพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าเสมือนพันธมิตร” เธอเล่า
ศุภรัตน์ บอกว่าในภาวะที่เกิดวิกฤตสิ่งแรกที่ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทต้องทำคือ ต้องมีสติแล้วก็เข้าใจสถานการณ์ และหาวิธีการที่จะแก้ไขสถานการณ์นั้น
“ถ้าบอกว่าไม่ตกใจเลยก็คงไม่ใช่ แต่ตกใจแล้ว How to จะทำยังไงต่อไปอันนี้สำคัญ สิ่งที่เราทำในตอนนั้นคือให้ตั้งวอร์รูม (War Room) แล้วทำแถลงการณ์ออกไปทีละฉบับ แถลงการณ์ฉบับแรกเพื่อควบคุมพนักงาน โดยพนักงานทุกคนต้องปฏิบัติตัวอย่างไรในภาวะที่เกิดโควิด ก็จะมีข้อมูล 1- 2- 3- 4- 5 ไล่มา ติดประกาศให้ทุกคนต้องปฏิบัติตาม หลังจากนั้นก็จะมีแถลงการณ์ไปถึงลูกค้าของเราทั้งหมด แจ้งทุกคนว่าเด็กของเราที่ติดเชื้อโควิด ขณะนี้อยู่ในมือของแพทย์เรียบร้อยแล้วและได้รับการรักษาอยู่ โดยผลการตรวจสอบจากกรมควบคุมโรคที่มาที่บริษัท มีการคัดแยกกลุ่มเสี่ยงประมาณ 50 คน ส่งไปตรวจแล้วปรากฏว่าไม่พบเชื้อ เพื่อให้เขาสบายใจได้ ที่ทำเช่นนี้เพราะว่าเราต้องการให้ผู้ค้าของเราที่เป็นกลุ่มเสี่ยงจากการที่เด็กของเราได้ติดต่อเข้าไปที่บริษัท จะได้ไปสุ่มตรวจซึ่งทุกคนไม่พบเชื้อ อันนี้เป็นสิ่งที่เราสบายใจ”
พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
แม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ของบริษัท แต่ ศุภรัตน์ เลือกให้พนักงานทุกคนมองวิกฤตโควิดครั้งนี้เป็นโอกาส เพราะอย่างน้อยนี่คือโอกาสประชาสัมพันธ์ UAE ให้ทุกคนทั่วประเทศรู้จักโดยไม่ต้องเสียเงินเลย
“เรามองว่าเรื่องเหล่านี้มันสามารถเปิดเผย และทำวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ แล้วมันจะเกิดประโยชน์กับทั้งตัวองค์กรเองและประเทศของเราด้วย เราถือว่าการเปิดเผยเป็นสิ่งที่เราทำเพื่อสังคม เพื่อบ้านเราในการช่วยกัน เพราะถ้ามีคน ติดเชื้อแล้วคุณไม่เปิดเผย ตัวคุณจะเป็นตัวการสำคัญมากในการที่จะกระจายเชื้อออกไป และถ้ามันควบคุมไม่อยู่ ก็จะทำลายทั้งเรื่องสุขภาพและเรื่องเศรษฐกิจของประเทศในระดับที่สูงมาก อย่างน้อยเราก็สามารถเป็นส่วนเล็กๆ ในการที่จะช่วยป้องกันปัญหาของโควิดจากการที่เด็กของเราคนหนึ่งเกิดการติดเชื้อ”
สิ่งที่ ศุภรัตน์ สื่อสารกับพนักงานของเธอทุกคน คือในช่วงวิกฤตเช่นนี้ สิ่งที่บริษัทจะต้องทำต่อคือการดึงจุดแข็งและความเป็นมืออาชีพออกมาให้ได้มากที่สุด
“จากนี้ทุกอย่างมันจะเปลี่ยน เพราะฉะนั้นเราต้องดึงจุดแข็งของตัวเองขึ้นมาเป็นจุดเด่น ให้มีความเป็นมืออาชีพที่สูงขึ้น แล้วก็กระโดดไปอีกขั้นหนึ่ง เราต้องรักษาความเป็นผู้นำในวงการนี้ให้อยู่ การบริหารจัดการก็จำเป็นต้องใช้ระบบซอฟต์แวร์ต่างๆ เข้ามาช่วยเพื่อทำให้ลีนที่สุด สามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ และเราเชื่อว่าในอีกสักปีสองปีเมื่อวิกฤตมันหายไปแล้ว สิ่งที่เราตั้งใจลงทุนและเตรียมการตรงนี้ จะสามารถต่อยอดให้เราเข้มแข็งมากขึ้นในวงการนี้ได้ต่อไป”
ในขณะที่หากเหตุการณ์โควิดสงบ พวกเขาก็จะได้เรียนรู้การทำงานใหม่ๆ ในวิถี New Normal เช่น แทนที่จะต้องออกไปพบลูกค้า ก็เรียนรู้การทำงานแบบใหม่ผ่านออนไลน์ มีการประชุมออนไลน์ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น วันหนึ่งสามารถทำได้หลายงานขึ้น
“จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เรามีการนำเรื่องของไอทีต่างๆ เข้ามาใช้ปรับประสิทธิภาพของการทำงานมากขึ้น โดยยังคงบริการด้วยคุณภาพอย่างดีที่สุด แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ การทำงานที่เป็น Partnership ระหว่างเรากับลูกค้า มากขึ้นด้วย โควิดครั้งนี้สอนเราหลายเรื่อง แต่สิ่งหนึ่งที่เราในฐานะการเป็นที่ปรึกษาทางด้านสิ่งแวดล้อม โควิดสอนว่าความเป็นมืออาชีพจะทำให้เราอยู่รอด เพราะฉะนั้นจากนี้เราจะพัฒนาในเรื่องของเทคโนโลยีต่างๆ ในเรื่องของความเป็นมืออาชีพของการให้บริการที่สูงขึ้น สร้างความเป็น Partnership กับลูกค้า ดูแลรักษาพนักงานของเรา ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างความยั่งยืนในธุรกิจนี้” เธอบอก
ก่อนอธิบายแผนเพิ่มเติมว่า สิ่งที่ UAE จะเดินต่อจากนี้ไป ยังคงเน้นที่การให้บริการแบบมืออาชีพ แต่จะรวดเร็วขึ้น เพราะว่าจะใช้ระบบไอทีและซอฟต์แวร์ต่างๆ เข้ามาช่วย ในขณะเดียวกันก็ต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา และต้องก้าวกระโดด เพราะพวกเขาไม่ได้กำลังแข่งกับคนในประเทศอย่างเดียว แต่แข่งกับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนด้วย โดยในอนาคตมองที่จะนำพาองค์กรเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ มีนามสกุลว่า “มหาชน” ต่อไป
“สำหรับคนที่ทำธุรกิจ SME อยู่ หรือคนที่จะเข้ามาทำธุรกิจในวันนี้ ตอนนี้ยุคสมัยมันเปลี่ยน เหตุการณ์ทุกอย่าง มันเปลี่ยนไป ฉะนั้นคุณจะต้องมองวิกฤตให้เป็นโอกาส ขณะเดียวกันคุณต้องกล้าที่จะคิดนอกกรอบ ทำในสิ่งที่คิดว่าตัวเองมีจุดเด่น และพัฒนาไปสู่ความเป็นมืออาชีพให้ได้
บริษัท ยูไนเต็ด แอนนาลิสต์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแตนท์ จำกัด หรือ UAE เป็นธุรกิจของคนไทยที่ให้บริการด้านสิ่งแวดล้อมในแบบ One Stop Service มากว่า 30 ปี มีธุรกิจทั้งในไทยและ CLMV พวกเขาต้องการให้บริการอย่างมืออาชีพเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีของประชากรอาเซียน และนั่นคือเหตุผลที่ แม้ต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 หนักหน่วงไหน แต่ธุรกิจก็ต้องไปต่อ และมองวิกฤตเป็นโอกาสเสมอ
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอ