ติดใจเข้าแล้วสิ! 6 เหตุผลที่คนอยาก Work from Home แม้หมดโควิด-19




Main Idea
 
 
  • โควิด-19 ทำให้หลายองค์กรให้พนักงาน Work from Home กันถึง 2-3 เดือน พนักงานจำนวนไม่น้อยติดใจการทำงานในรูปแบบนี้ และภาวนาให้บริษัทอนุญาตให้ทำงานแบบนี้ไปเรื่อยๆ\
 
  • เหตุผลที่ผู้คนชอบรูปแบบการทำงานที่บ้านมีหลายข้อด้วยกัน ทั้งได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาบนท้องถนนนานๆ  ได้บริหารจัดการเวลาทำงานของตัวเอง ในขณะที่ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้มากขึ้นอีกด้วย
 
  • จากปรากฏการณ์ดังกล่าว ทำให้หลายองค์กรทั่วโลกกำลังพิจารณาให้พนักงานทำงานจากที่บ้านในระยะยาว แม้หมดช่วงโควิด-19 ไปแล้ว




     การระบาดของโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ผลักดันให้คนจำนวนมากทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) เป็นเวลา 2-3 เดือน จนถึงตอนนี้รัฐบาลประกาศเปิดเมืองและกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ แต่มีคนจำนวนไม่น้อยติดใจการ Work from Home เข้าให้แล้วล่ะ





     จากข้อมูลจาก Fluent ที่สำรวจผู้บริโภคบนโลกออนไลน์บอกว่าคนที่ Work from Home ในช่วงที่ผ่านมา 59 เปอร์เซ็นต์ ชอบและวางแผนจะทำงานแบบนี้ต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยผู้ชาย 62 เปอร์เซ็นต์มีแนวโน้มต้องการทำงานที่บ้านมากกว่าผู้หญิงที่จำนวน 57 เปอร์เซ็นต์
 
               
     ผลสำรวจข้อดีของการทำงานจากที่บ้าน คือ
 
  • ได้ใช้เวลากับครอบครัว 34 เปอร์เซ็นต์
 
  • ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเดินทาง 29 เปอร์เซ็นต์
 
  • มีตารางเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น 17 เปอร์เซ็นต์
 
  • ประหยัดเงิน 11 เปอร์เซ็นต์
 
  • ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์
 
  • มีเรื่องการเมืองในที่ทำงานน้อยลง 4 เปอร์เซ็นต์
 




     แน่นอนว่าการทำงานจากที่บ้านไม่ใช่มีเพียงแค่เรื่องดี ผู้ให้สำรวจบอกว่า ส่วนที่แย่ที่สุดของการทำงานจากที่บ้าน คือ
 
  • ถูกรบกวนมากขึ้น 29 เปอร์เซ็นต์
 
  • ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมน้อยลง 25 เปอร์เซ็นต์
 
  • สมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตลดลง 18 เปอร์เซ็นต์
 
  • บ้านไม่เหมาะกับการเป็นสถานที่ทำงาน 10 เปอร์เซ็นต์
 
  • ประสิทธิภาพการทำงานลดลง 10 เปอร์เซ็นต์
 
  • สื่อสารระหว่างทำงานได้ยาก 8 เปอร์เซ็นต์

 

     สิ่งที่น่าสนใจคือยิ่งอายุมากขึ้นแค่ไหน ยิ่งอยากทำงานจากที่บ้านมากขึ้นเท่านั้น GenX และ Baby Boomers มีแนวโน้มมากว่าจะขอ Work from Home ต่อหลังจากที่บริษัทเปิดทำการตามปกติ แต่ทางฝั่ง Gen Z กลับบอกว่าขอกลับไปทำงานที่ออฟฟิศถึงแม้ว่าบริษัทจะให้เลือกทำงานจากที่บ้านได้ก็ตาม





     Global Workplace Analytics คาดการณ์ว่าในปี 2564 จะมีพนักงานในสหรัฐฯ ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ที่ทำงานจากที่บ้านหลายวันต่อสัปดาห์ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถประหยัดเงินได้ประมาณ 11,000 ดอลลาร์ฯ ต่อปี (ประมาณ 340,000 บาท) สำหรับการอนุญาตให้พนักงานทำงานที่บ้านครึ่งหนึ่ง ขณะที่ฝั่งพนักงานก็ประหยัดเงินได้คนละ 4,000 ดอลลาร์ฯ ต่อปี (124,000 บาท)





     มีหลายองค์กรทั่วโลกที่ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานแบบยืดหยุ่น ยอมให้พนักงาน Work from Home กันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Amazon ที่ให้พนักงานสามารถเลือกทำงานจากที่บ้านได้จนถึงเดือนตุลาคม เช่นเดียวกับ Facebook และ Google ที่ขยายมาตรการทำงานจากที่บ้านได้จนถึงสิ้นปี 2563 ซึ่งเป็นการค่อยๆ ปรับไปสู่การทำงานทางไกลมากขึ้นในระยะยาว ในขณะที่ Twitter ได้เสนอตัวเลือกให้พนักงานทำงานที่บ้านอย่างถาวร ส่วน WPP เอเจนซี่โฆษณารายใหญ่ของโลกก็ให้เลือกกลับมาทำงานที่ออฟฟิศหรือจะทำงานที่บ้านต่อไปได้ตามความสมัครใจ



 

     ที่มา : Forbes

 
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี


 

RECCOMMEND: MANAGEMENT

Quiet Quitting เวอร์ชั่นใหม่จากจีน! ประท้วงแบบใหม่ แบบสับ แห่แต่งชุดไม่เหมาะสมไปทำงาน เรียกร้องสวัสดิภาพที่ดี

“Quiet Quitting” หรือ “การลาออกเงียบ” เทรนด์การทำงานของคนยุคนี้ที่มีการพูดถึงกันมากเมื่อช่วง 2 ปีก่อน ล่าสุดคนรุ่นใหม่ หรือ คน Gen Z ต่างหันมาแต่งตัวไปทำงานด้วยชุดที่ไม่เหมาะสม เช่น การสวมชุดที่ดูคล้ายชุดนอนมาทำงาน, การแต่งกายด้วยชุดเวอร์วัง อย่างเสื้อคลุมขนสัตว์ที่ดูรุ่มร่าม เป็นต้น โดยมองว่าไม่ได้ทำผิดกฎอะไร แค่อยากแสดงออกเชิงสัญญาลักษณ์เฉยๆ

ไม่อยากเจ๊งต้องอ่าน รวมทางออกให้ธุรกิจไปต่อ ยามเจอวิกฤตเศรษฐกิจเลวร้าย

ความท้าทายไม่เคยขาดหายไปสำหรับผู้ประกอบการ SME ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเศรษฐกิจถดถอย แต่ทุกปัญหาล้วนมีทางออกเสมอสำหรับผู้ที่มีวิสัยทัศน์และยืนหยัดด้วยปรัชญาที่ถูกต้อง

5 หนังครอบครัวฟีลกู้ด ที่คนทำธุรกิจควรดู

เพราะครอบครัว คือ รากฐานสำคัญของทุกอย่าง หลายธุรกิจแจ้งเกิดเติบโตประสบความสำเร็จได้  เนื่องในวันครอบครัว 14 เมษายนนี้ เลยอยากชวนมาดู 5 หนังเรื่องราวธุรกิจที่มีความอบอุ่นของครอบครัวเป็นแรงผลักดันจนสำเร็จมาฝากกัน