TEXT : Jay.Wannakhun
PHOTO : สุนันท์ ล้อสมทรัพย์
Main Idea
- จุลินทรีย์คึกคัก ตัวช่วยแก้ปัญหาสารเคมีตกค้าง สร้างความยั่งยืนให้กับเกษตรกร
- ด้วยฝีมือคนไทยจากบริษัท ไบโอม จำกัด บริษัทที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงตอบโจทย์การทำธุรกิจแบบยั่งยืน
“ที่ผ่านมาตลอด 60 - 100 ปี เกษตรกรไทยใช้สารเคมีในการเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรมาตลอด แม้เวลาผ่านไป สารเคมีเหล่านี้ยังตกค้างในดิน เพราะฉะนั้นผลผลิตจากการปลูกพืชของเกษตรกรถึงตกต่ำลง เพราะว่าดินเสื่อมสภาพ“
ศ.ดร.อลิสา วังใน Chief Technology Officer (CTO) บริษัท ไบโอม จำกัด พูดถึง pain point ของการทำเกษตรในเมืองไทย เป็นสาเหตุให้บริษัทไบโอมพัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่มีความสามารถในการสลายสารเคมีที่ตกค้างในดินคือ “จุลินทรีย์คึกคัก” เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการได้ทำธุรกิจแบบยั่งยืน
แก้ปัญหาต้องแก้ให้ถึงราก
ทั้งนี้การทำเกษตรจะยั่งยืน ผลผลิตจะดีได้นั้น ศ.ดร.อลิสา กล่าวว่า ต้องเริ่มจากปรับปรุงที่ดินเพาะปลูกให้ดีก่อน ซึ่งการจะเปลี่ยนพื้นที่เกษตรที่เคยมีสารเคมีตกค้างให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยไร้สารเคมีนั้นต้องใช้เวลารอให้สารพิษสลายนานหลายปี ด้วยเหตุนี้บริษัทไบโอมจึงเน้นการแก้ที่ต้นตอปัญหา ด้วยการฟื้นฟูคุณภาพของดิน
นำมาสู่การพัฒนาหัวเชื้อจุลินทรีย์ย่อยสลายสารพิษ ใช้ฉีดพ่นทั่วพื้นที่ปนเปื้อน เช่น นาข้าว สวนผัก-ผลไม้ สวนดอกไม้ จุลินทรีย์จะย่อยสลายสารเคมีในยาฆ่าหญ้า หลังฉีดพ่นปริมาณสารตกค้างลดลงในปริมาณที่ไม่สามารถตรวจพบได้ เป็นนวัตกรรมที่ช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
“จุลินทรีย์คึกคักช่วยเพิ่มปริมาณและคุณค่าของผลผลิตทางการเกษตร ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น มีเกษตรกรรายหนึ่งหมดเงินไปราวสามหมื่นบาทกับการฟื้นฟูดิน แต่ไม่ได้ผล เมื่อมาใช้หัวเชื้อจุลินทรีย์นี้ พบว่า ใช้งานได้ดี และสนใจจะใช้แนวทางนี้แทน”
ศ.ดร.อลิสา อธิบายเพิ่ว่า “แต่ในขณะเดียวกันสารเคมีหรือยาฆ่าแมลงก็ไม่ได้ตกค้างอยู่ในดินอย่างเดียว เพราะมีการตกค้างของยาฆ่าแมลงบนผักผลไม้ด้วย เพราะฉะนั้นบริษัทไบโอมจึงได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ตัวเอนไซม์ล้างผัก M-Green ที่สกัดมาจากจุลินทรีย์ฟื้นฟูดินตัวแรก ช่วยย่อยสลายยาฆ่าแมลงบนผิวของผักและผลไม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัยสูง ไม่มีสารตกค้าง อีกทั้งยังมีประโยชน์ในเรื่องของการยืดอายุของผักและผลไม้อีกด้วย”
สร้างโอกาสธุรกิจในยุคโลกต้องไร้มลพิษ
ศ.ดร.อลิสา อธิบายเพิ่มว่า ในปัจจุบัน ในยุคที่โลกเดือด ทุกคนต่างให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมนับเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เกษตรกรไทยหันมาใส่ใจกับการทำเกษตรไร้สารเคมีมากขึ้น
“ผลิตภัณฑ์ของเราช่วยสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการได้ เป็นการเพิ่มมูลค่าของผลผลิตในตลาด เพิ่มจุดขายเรื่องความสะอาด ความปลอดภัยตอบโจทย์ผู้บริโภค เพิ่มโอกาสการแข่งขันในตลาด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างโอกาสให้เกษตรที่อยากทำธุรกิจส่งออก สามารถลดความเสี่ยงจากการตรวจพบสารตกค้างของยาฆ่าแมลงในผักผลไม้ส่งออก ช่วยประหยัดเวลาจากการโดนปฏิเสธการนำเข้า”
ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงช่วยเพิ่มคุณค่าให้ธุรกิจ
แม้เกษตรกรส่วนใหญ่จะหันมาสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทว่าการตัดสินใจว่าจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แบบใดก็ยังขึ้นกับปัจจัยเรื่องราคาเป็นหลัก
ทั้งนี้เจ้าของผลิตภัณฑ์ “จุลินทรีย์คึกคัก” เองก็เข้าใจในจุดนี้ ถึงแม้ในการผลิตจะต้องใช้เทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง หรือ Deep tech อาจทำให้ราคาสินค้ามีต้นทุนสูง บริษัทจึงได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่เป็นผู้ผลิตขนาดใหญ่เพื่อผลิตให้ได้ในสเกลที่มากขึ้นเพื่อราคาสินค้าจะได้ไม่สูงเกินไปให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้
“บริษัทไบโอมต้องการที่จะเน้นเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือใช้เทคโนโลยีให้ไปเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ต่อสังคมให้มากที่สุด ผลักดันต่อยอดงานวิจัยสู่นวัตกรรมและการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์”
ไบโอม บริษัทของนักวิจัยคนไทย
อาจารย์อลิสา เล่าถึงที่มาของบริษัทว่า เป็นบริษัทที่แยกตัวออกมาจากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อต่อยอดงานวิจัย ให้เป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการ
“ผู้ก่อตั้งก็เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เราเป็นนักวิจัยที่ทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรมมาไม่ต่ำกว่า 25 ปี วันหนึ่งที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบอกว่าอยากจะเอาเทคโนโลยีที่เราพัฒนาขึ้นมา 20 กว่าปี เอาออกไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการ จึงเกิดเป็นบริษัทไบโอมขึ้นมา เพื่อใช้เทคโนโลยีทางด้านชีวภาพ ไม่ว่าจะเป็นจุลินทรีย์ หรือเอนไซม์ที่อยู่ในสิ่งมีชีวิตต่างๆ เอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับมนุษย์มากที่สุด” ศ.ดร.อลิสา กล่าวทิ้งท้าย
ข้อมูลติดต่อ https://www.facebook.com/biom.company/ โทร. 061 831 8555 |
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี