ได้ดีเพราะถูกบูลลี่! เมื่อวัยรุ่นเกาหลีอายุ 17 ปี ปั้น 2 ธุรกิจ ทำรายได้หลายสิบล้าน
Text : Vim Viva
ใครจะคิดว่าการหาทางออกของวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีปัญหาในการปรับตัวในโรงเรียน และถูกเพื่อน ๆ กลั่นแกล้งตลอดเวลากลับกลายเป็นใบเบิกทางไปการเป็นผู้ประกอบการวัย 17 ปีที่มีธุรกิจเป็นของตัวเองและทำรายได้มากถึงปีละ 40 ล้านบาท วัยรุ่นคนดังกล่าวมีชื่อว่าซูโคเน่ ฮง เป็นชาวเกาหลีใต้
ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีก่อน ฮงอายุเพียง 13 ปี และเรียนชั้นมัธยม 2 ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงโซล ฮงมีปัญหาเข้ากับเพื่อนที่โรงเรียนไม่ได้ แถมยังถูกเพื่อนรังแกอีกด้วย เขาจึงคิดหาอะไรทำเพื่อหันเหจากความไม่สบายใจ และเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง ณ เวลานั้น เขามีเงินเก็บเกือบ 5,000 บาท จึงลงทุนซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นแล้วลงขายออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์ม Naver เสิร์ชเอ็นจิ้นอันดับหนึ่งของเกาหลีหรือรู้จักในชื่อ “กูเกิ้ลเกาหลี”
ในการโพสต์ขายครั้งแรก ถือว่าไม่เลว ฮงมองเห็นโอกาสทางธุรกิจจึงคิดการณ์ใหญ่ แต่เงินเก็บที่มีอยู่น้อยนิดแค่หลักพัน เขาตัดสินใจขอยืมเงินจากคุณปู่คุณย่าจำนวน 5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.6 แสนบาท) เพื่อสร้างแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นของตัวเอง และในที่สุด “Olaga Studios” ก็ถือกำเนิดในฐานะแบรนด์เสื้อผ้าลำลอง เ รียบง่าย และเป็นแบรนด์ยูนิเซ็กศ์ที่สวมใส่ได้ทั้งชายและหญิง
ฮงเล่าว่าหลังเปิดตัวสินค้า สัปดาห์แรกเงียบมาก ไม่มีคำสั่งซื้อเข้ามาเลย แต่หลังจากนั้น ในวันจันทร์หนึ่ง ช่วงเช้ามีออร์เดอร์เข้ามา 15 ออร์เดอร์ เที่ยง 50 ออร์เดอร์ ตกเย็นขับเป็น 80 ออร์เดอร์ รวมแล้วสัปดาห์เดียว ฮงขายเสื้อได้ 300 ตัว นับจากนั้นมา เป็นเวลา 3 ปีแล้วที่ Olaga Studios แจ้งเกิดและยอดขายปังไม่เฉพาะในเกาหลีใต้ แต่ยังขายดีในตลาดเอเชียอื่นด้วย ยอดขายต่อปีใน 6 ประเทศเอเชียอยู่ที่ 1.2 ล้านดอลลาร์หรือราว 40 ล้านบาท ทั้งยังขึ้นแท่นแบรนด์เสื้อยืดที่ขายดีอันดับหนึ่งใน Style Share แพลทฟอร์มแฟชั่นและความงามของเกาหลี
ธุรกิจแฟชั่นแบรนด์ Olaga Studios เริ่มอยู่ตัว นอกจากสามารถจ้างทีมงาน 12 คนเพื่อดูแลธุรกิจ เขายังรับผิดชอบจ่ายค่าเล่าเรียนเอง ฮงได้ย้ายจากโรงเรียนเดิมมาเรียนที่โรงเรียนนานาชาติ และสภาพแวดล้อมในโรงเรียนใหม่นี่เองที่สร้างแรงบันดาลใจให้จนทำให้เกิดธุรกิจที่ 2 “ก่อนหน้านั้นผมคิดว่าการทำธุรกิจก็คือการทำเงินให้ได้มาก ๆ แต่หลังจากย้ายมาเรียนที่ใหม่ ครูของผมบอกว่าประสบการณ์ทางธุรกิจที่ผมมีอาจสามารถต่อยอดไปยังธุรกิจอื่นที่ช่วยเหลือผู้คนได้“
คำพูดของครูกลายเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ฮงตัดสินใจตั้ง Paradox Computers บริษัทที่ 2 ขึ้นมาเพื่อพัฒนาสมาร์ทวอทช์หรือนาฬิกาอัจฉริยะสำหรับผู้พิการทางสายตา ความจริงนาฬิกาแบบนี้ไม่ใช่นวัตกรรมใหม่และมีจำหน่ายมาหลายปีแล้ว แต่ราคาค่อนข้างสูง รุ่นที่ราคาถูกสุดยังแตะหมื่นบาทต่อเรือน ทำให้ผู้พิการทางสายตาไม่ทุกคนที่สามารถจ่ายได้ ฮงมองว่านี่เป็นโอกาสทางธุรกิจและยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้ด้วย
ฮงเริ่มศึกษาตลาด และสำรวจความเห็นของกลุ่มผู้พิการทางสายตาว่าต้องการนาฬิกาแบบไหน แม้จะมีปูมหลังด้านเทคโนโลยี แต่ประสบการณ์จากการทำธุรกิจแฟชั่นช่วยได้มาก ฮงใช้วิธีหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อร่วมทำโปรเจ็คนี้โดยให้ถือหุ้น 30 เปอร์เซนต์ในบริษัทแลกกับเงินลงทุนจากพันธมิตร 300,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ใช้เวลานับปีในการวิจัยและพัฒนา สมาร์ทวอทช์รุ่นแรกจาก Paradox Computer ก็วางจำหน่ายในราคาเพียงเรือนละ 80 ดอลลาร์หรือประมาณ 2,600 บาท ถือว่าเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้พิการทางสายตาที่ราคาถูกสุดในโลก หลังเปิดตัวได้ 6 เดือนก็ทำยอดขายไปหลายร้อยเรือน และมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าจากจีนอีก 3,000 ออร์เดอร์
ข้อมูลระบุจำนวนผู้พิการทางสายตาทั่วโลกที่ได้รับการจ้างงานมีเพียง 17.5 เปอร์เซนต์เท่านั้นเมื่อเทียบกับการจ้างงานคนทั่วไปที่อยู่ในอัตรา 75 เปอร์เซนต์ ไม่เท่านั้น ค่าแรงที่ผู้พิการทางสายตาได้รับยังต่ำกว่าคนทั่วไป 35 เปอร์เซนต์ และเนื่องจากอัตราการว่างงานสูง ค่าแรงที่ได้รับต่ำจึงทำให้ 1ใน 3 ของประชากรผู้พิการทางสายตาทั่วโลกอยู่ในสถานะยากจนรุนแรง
ฮงกล่าวว่าผู้พิการทางสายตาจำนวนมากไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี เขาคาดหวังว่าสมาร์ทวอทช์ราคาถูกจะทำให้คนเหล่านี้เข้าถึงเทคโนโลยีและความสะดวกมากขึ้น ฮงทิ้งท้ายว่าความสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจทำให้เขาเคยคิดจะเลิกเรียนหนังสือ แต่เมื่อได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับนักธุรกิจและซีอีโอมากหน้าหลายตา ทุกคนล้วนแนะนำให้เขาเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา และเป็นที่น่ายินดีที่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ฮงเพิ่งได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดให้เข้าเรียนที่สถาบัน
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup