Tech Startup
พาณิชย์ ร่วมปลดล็อกสตาร์ทอัพ ชี้ Deep Tech, MedTech, S-Curve มาแรงสุด
กระทรวงพาณิชย์ เร่งบ่มเพาะธุรกิจสตาร์ทอัพไทย เผยภาครัฐมีความพร้อมในการส่งเสริมและให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ พร้อมโชว์ธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีโอกาสเติบโตในช่วงครึ่งหลังปี 2561 และปี 2562 ได้แก่ 1.Deep Tech Startup 2. MedTech Startup และ 3.S-Curve Startup นอกจากนี้ สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ยังได้จัด โครงการเสวนาเพื่อผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ “NEA STARTUP SYMPOSIUM”เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเห็นความสำคัญของการริเริ่มทำธุรกิจสตาร์ทอัพ พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในแวดวงดังกล่าวจากทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ พร้อมผนึกกำลังกับ KX Consulting Enterprise (Knowledge Exchange), สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล(Depa) , มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) ลงนามความร่วมมือการผลักดันและสนับสนุนสตาร์ทอัพให้สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วขึ้น
สกนธ์ วรัญญูวัฒนา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เผยถึงนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจสตาร์ทอัพของไทยว่า “กระทรวงพาณิชย์ มีภารกิจหลักที่จะมุ่งส่งเสริมความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ซึ่งผู้ประกอบการยุคใหม่จำเป็นต้องใช้นวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ (Innovation-driven Enterprises/Startup) เพื่อยกระดับไปสู่การเป็นธุรกิจนวัตกรรม โดยนวัตกรรมยังถือเป็นตัวเร่งสำคัญในการพัฒนาประเทศไปสู่ประเทศไทย 4.0 ตามนโยบายของรัฐบาลที่สำคัญประการหนึ่ง พร้อมช่วยพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้ก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการมืออาชีพ หรือ Smart Enterprise อย่างครบวงจร
สำหรับในปัจจุบัน ภาครัฐพร้อมที่จะให้การสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพที่เป็นอนาคตของประเทศไทยและไทยมีศักยภาพอยู่แล้วโดยเฉพาะในธุรกิจบริการ สุขภาพ อาหาร วัฒนธรรม ซึ่งในอนาคตมีโอกาสที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะถือเป็นจุดแข็งของประเทศไทย
จันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เผยว่า “ธุรกิจประเภทสตาร์ทอัพ ที่จะมีศักยภาพ ได้นั้นต้องประกอบด้วยกุญแจไขความสำเร็จ 6 อย่าง คือ 1.ภาครัฐสนับสนุน โดยมีภาคเอกชนและประชาสังคมเป็นกลไกในการขับเคลื่อนตามนโยบาย 2.ต้องมีการปรับเปลี่ยนโมเดลการทำงาน ให้ตอบสนองกลุ่มธุรกิจ Startup ได้มากยิ่งขึ้น 3. ต้องปลดล็อกข้อจำกัดในอดีตในเรื่องของการประกอบธุรกิจแบบเก่า โดยเฉพาะหากผู้ประกอบการมีไอเดียที่แปลกใหม่และดี ยิ่งสามารถนำมาใช้เป็นทุนและหลักประกันได้ 4. สร้างระบบนิเวศที่ดีและเหมาะสม เพื่อสนับสนุนธุรกิจ Startup 5. เร่งแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการแข่งขันทางการค้าให้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น 6. ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษา ให้สอดรับกับธุรกิจ Startup ที่กำลังจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆในอนาคต
จันทิรา กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเภทธุรกิจสตาร์ทอัพที่พบว่ามีโอกาสเติบโตในช่วงครึ่งหลังปี 2561 และปี 2562 คือ
1.Deep Tech Startup ซึ่งเป็นการใช้วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมขั้นสูงมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นเพื่อแก้ปัญหาสิ่งที่มีอยู่ในตลาด โดยจะต่างจากสตาร์ทอัพที่พัฒนาแอปพลิเคชั่น ด้วยการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ ซับซ้อนมีสิทธิบัตรทางปัญญาคุ้มครอง ทำให้ลอกเลียนแบบยากและคู่แข่งน้อย ตัวอย่างเช่น ระบบ AI (Artificial Intelligence) ระบบ IoT เทคโนโลยีในสายธุรกิจต่างๆ เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ อาหารและการเกษตร อวกาศ พลังงาน
2. MedTech (สตาร์ทอัพด้านการแพทย์) โดยเป็นเทคโนโลยีที่จะมาช่วยพัฒนางาน บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมในเรื่องของสุขภาพอนามัย ด้วยการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อาทิ ปรึกษาแพทย์ออนไลน์ ติดตามผลตรวจสุขภาพผ่านมือถือ วิเคราะห์ความเสี่ยงโรค แก้ปัญหาการจัดเก็บข้อมูลสุขภาพเป็นแบบระบบโมบายแอปพลิเคชั่น และแก้ปัญหาผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลด้วยเทคโนโลยีให้คำปรึกษาผ่านแอปพลิเคชั่น เป็นต้น
3. Startup ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) โดยจะต้องเป็นสตาร์ทอัพที่สามารถยกระดับการผลิต การบริการ หรือการขนส่งของ 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น เช่น สตาร์ทอัพด้านระบบบริการทางการแพทย์ การพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อให้กระบวนการผลิตมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น สตาร์ทอัพด้านการท่องเที่ยว เป็นต้น
สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) ได้ให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะธุรกิจสตาร์ทอัพ ล่าสุดจึงได้จัด โครงการเสวนาเพื่อผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่“NEA STARTUP SYMPOSIUM : The power of Creativity & Innovation” (พลังแห่งความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเพื่อสตาร์ทอัพ) ซึ่งนับเป็นโครงการต่อเนื่อง และเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเห็นความสำคัญของการริเริ่มทำธุรกิจสตาร์ทอัพ พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในแวดวงดังกล่าวจากทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ เช่น บอย โกสิยพงศ์ นักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ชื่อดัง ชาคริต จันทร์รุ่งสกุล ผู้ก่อตั้ง FireOneOne, Mr.William Malek ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบและอดีตอาจารย์จากมหาวิทยาลัย Stanford , Mr.Jame D. Laur,Cedars-Sinai Accelerator Powered by Techstars, จากประเทศสหรัฐอเมริกา Mr.Michael Maylahn President Stasis Labs จากประเทศสหรัฐอเมริกา , Mr.David Bolliger General Partner of Intervalley Ventures (AI Human,LP) จากประเทศออสเตรเลีย และ Mr.Gabriele Costigan Managing Director WeXcelerate จากประเทศออสเตรีย พร้อมด้วยสตาร์ทอัพสัญชาติไทยอีกมากมาย
นอกจากนี้ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพให้ประสบความสำเร็จได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ยังได้ผนึกกำลังกับ ภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานภาคการศึกษา โดยที่ผ่านมาได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) แล้ว 2 หน่วยงานได้แก่ KX Consulting Enterprise (Knowledge Exchange), สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล(Depa) ซึ่งภายในงานยังจะมีพิธีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพิ่มอีก 2 หน่วยงาน ได้แก่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)หรือ NIA ซึ่งทุกภาคส่วน จะร่วมกันบูรณาการผลักดันและสนับสนุนผู้ประกอบการยุคใหม่ ในทุกระดับ โดยมีความร่วมมือ อาทิ การแลกเปลี่ยนข้อมูลแนวโน้มและความต้องการของสินค้านวัตกรรมในตลาดต่างประเทศ เพื่อพัฒนาศักยภาพและความสามารถของผู้ประกอบการให้ก้าวสู่สากล การให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการ การร่วมทำวิจัยและเผยแพร่ความรู้ ในการจัดงานสัมมนา เป็นต้น
โดยการจัดโครงการเสวนาในครั้งนี้ยังนับเป็นการจุดประกายให้แก่ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพไทยให้มีความรู้ความเข้าใจถึงแนวทางในการทำธุรกิจสตาร์ทอัพให้ประสบผลสำเร็จ ตลอดจนแนวทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีนวัตกรรม และเทคโนโลยี ที่พร้อมจะต่อยอดธุรกิจของตนเองให้มีความสามารถในการแข่งขันของตลาดในประเทศและต่างประเทศได้ ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจประเภท Startup ของไทยอีกด้วย จันทิรา กล่าวสรุป
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี