หลังจากที่สถาบันการเงินออกมาตั้งบริษัท Venture Capital ตามด้วยฝั่งของอสังหาริมทรัพย์ให้เห็นกันเรื่อยๆ ล่าสุดธุรกิจขนาดใหญ่อย่างเอสซีจี ก็ออกมาตัวเปิด AddVentures ในรูปแบบ Corporate Venture Capital เพื่อหวังนำนวัตกรรมจาก Startup มาต่อยอดธุรกิจในเครือ

     อย่างที่รู้กันว่า เอสซีจีเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาตลอด การก่อตั้ง AddVentures จึงเป็นการเปิดรับ Startup ที่ต้องการส่งต่อเทคโนโลยีและนวัตกรรมทำให้เอสซีจีสามารถเชื่อมโยงนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาตอบโจทย์ลูกค้าได้เร็วขึ้น ดีขึ้น โดยการมาของ AddVentures ในครั้งนี้มาพร้อมกับวิสัยทัศน์ You Innovate, We Scale 

     จาชชัว แพส กรรมการผู้จัดการ AddVentures บอกว่า ทุกวันนี้ Startup ได้เข้ามามีบทบาทในทุกธุรกิจ เพราะ Startup คิดได้เก่ง อีกทั้งยังสามารถทำได้เร็ว AddVentures จึงต้องมีบทบาทในการ Collaborative ที่เชื่อมโยงทั้ง Startup และเอสซีจีเข้าด้วยกัน  

     “แม้ว่าเอสซีจีจะให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมมานานแล้ว แต่ฝั่งที่เป็นดิจิทัลก็เริ่มเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ เราเห็นวิธีการใช้ชีวิตการทำงานของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไป โลกก็เปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้น จะทำยังไงให้ได้นวัตกรรมและเทคโนโลยีโดยเร็ว ใครเก่งเรื่องอะไรเราก็ต้อง Collaborate ส่วนความท้าทาย ก็เป็นเรื่อง Speed เพราะ Startup เป็นทีมเล็กๆ ที่ค่อนข้าง Lean ถ้าจะทำอะไรกับเขาเราเองก็ต้องมีกระบวนการที่รองรับตรงนั้นได้”

     สำหรับโรดแมปของ AddVentures นั้น จาชชัวอธิบายว่า กลุ่มเป้าหมายที่ AddVentures สนใจลงทุนประกอบด้วย 3 กลุ่มหลักคือ Enterprise Industrial และ B2B 

     “เอสซีจีมีเซกเมนต์ของตนเองที่ค่อนข้างเฉพาะ โดยมี 3 กลุ่มหลักคือ Enterprise Industrial และ B2B เรามองว่าตรงนี้ในประเทศไทยมีแค่เรา โดยที่ Industrial ก็เช่น Smart Manufacturing และ Robotics ส่วน Enterprise จะเป็นพวก Digital Marketing และ Omni-Channel สำหรับ B2B เช่น บริการ Logistic และ Smart Packaging ขณะที่ตัวเลขการลงทุนเราสนใจที่ Post Seed หรือ Series A ถามว่า เพราะอะไร ก็มาจากวิสัยทัศน์ที่เราวางไว้ คุณ Innovate เรา Scale เราเห็นว่าแม้ Startup จะคิดได้แล้ว มีเครื่องมือแล้ว แต่ยังขาดการ Scale Up ทั้งเรื่อง Resource ที่คิดว่าเราจะสามารถช่วย Startup ได้ นอกจากนี้ เอสซีจีมีบริษัทในเครืออยู่ในอาเซียน เราสามารถเชื่อมโยงให้ Startup ได้ในอาเซียนเพราะฉะนั้นถ้าจะช่วย Scale ได้ Startup นั้นก็ต้องมี Business Model ที่ชัดเจนพอสมควร”

     เมื่อถามต่อว่าแล้วตัวเลขการลงทุนจะอยู่ที่เท่าไหร่ จาชชัวแจงว่า ถ้าเป็น Post Seed หรือ Series A ก็ต้องอยู่ที่ 1-5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อครั้ง และถ้าได้ร่วมลงทุนกันแล้วรู้สึกว่ามีอะไรที่เสริมซึ่งกันและกันได้ก็จะลงทุนต่อ ซึ่งหากมองภาพใน 5 ปีนี้ก็เตรียมเงินลงทุนไว้ 2,000-3,000 ล้านบาท

     “เรามองการลงทุนมี 2 ฝั่ง ถ้ามันเป็น Tech จริงๆ คนที่เก่งๆ จะมีอยู่เยอะใน Silicon Valley สหรัฐอเมริกา Tel Aviv ในอิสราเอล และที่ Shenzhen ในจีน เราก็ได้ไปดูมาหมดแล้ว เราคงไปลงทุนเพื่อดึงเอาเทคโนโลยีเข้ามา กับอีกฝั่งที่เป็นการลงทุนใน Digital Business Model ในไทยและอาเซียน ซึ่งแต่ละประเทศก็ไม่ได้เหมือนกัน โดยจะทำการลงทุนทั้งผ่านกองทุน Venture Capital ข้อดีคือเราลงที่เดียวแต่ได้อินไซต์หลายอย่างจาก Startup ที่อยู่ Portfolio และการลงทุนโดยตรง ซึ่งเรามองภาพเป็นหลายสเตป คือดูว่า Fit กับเราได้มั้ย เสร็จแล้วค่อยมาดู Commercial Deal ว่า ถ้าทำด้วยกันแล้วไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หรือซัพพลายเออร์อะไรก็ตามมันเวิร์กมั้ย ถ้ามันเวิร์กแล้วรู้สึกว่าเราช่วยอะไรกันได้ก็ค่อยลงทุน ลงทุนเสร็จค่อย Scale แต่ถามว่าต้องเปะทั้ง 4 สเตปหรือเปล่า ก็แล้วแต่แต่ละคนว่ามาพร้อมมากแค่ไหน"

     อย่างไรก็ตาม ในฐานะ CVC จาชชัวยังได้ให้ข้อแนะนำสำหรับ Startup ที่จะเป็นที่เตะตา VC ได้ว่า ต้องมี Passion เป็นอันดับแรก ซึ่งถ้าโชว์ได้ว่ามี Passion และสิ่งที่ทำอยู่เชื่อว่าเป็น Pain Point ของประเทศจริง ก็สามารถเอาโปรเจกต์นั้นเข้าประตู VC ได้แล้ว  

     “เดี๋ยวนี้พวกที่พึ่งเรียนจบใหม่ๆ แล้วอยากทำโน่นทำนี่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันที่ไม่ใช่เด็กแต่เคยทำงานมาหลายปี อยู่บริษัทแล้วเห็น Pain Point อะไรสักอย่าง เช่น ปัญหาของลูกค้าแล้วอยากจะแก้ไขปัญหานี้ก็มีมากขึ้น ซึ่งถ้าใครมี Passion ในก็จะยิ่งดี สำหรับการที่จะเป็น Startup ที่ประสบความสำเร็จนั้นนอกจากจะมีไอเดีย มีเน็ตเวิร์กที่ดีแล้ว เรื่องเงินทุนก็สำคัญ ซึ่งอย่างเราเองก็สามารถช่วย Startupได้ในด้าน Resource และคอนเน็กชันทั้งหลาย รวมถึงความเชี่ยวชาญในแต่ละเรื่องที่เราทำ ซึ่ง Startup เองต้องหาเรื่องพวกนี้มาเสริมจากไอเดียที่มีอยู่แล้ว ถึงจะเป็นจุดที่ทำให้เกิด Scale ขึ้นมาได้” 


www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อธุรกิจเอสเอ็มอี