Treasured Tales แบรนด์นิทานคัสโตไมซ์ของคุณแม่เพื่อนรักที่อยากเป็นสื่อกลางความรู้สึกให้ทุกคนกล้าบอกรักลูก!
Text : Yuwadi.s
เชื่อว่าพ่อแม่ยุคใหม่หลายคนที่หันมาสนใจการเลี้ยงลูกเชิงบวกมักจะหยิบเอานิทานเป็นตัวกลางในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกน้อย ที่สำคัญนิทานยังมีส่วนช่วยพัฒนาด้านการสื่อสารและจินตนาการด้วย พ่อแม่หลายคนจึงมักจะเปลี่ยนชื่อตัวละครในนิทานให้กลายเป็นชื่อลูกเพื่อเพิ่มอรรถรสและการมีส่วนร่วมเวลาอ่านนิทาน ทำให้ เม๋ย์-เมธานัญ ศิวยาธร และ เต๋า-ทองทา วิพิศมากูล เพื่อนรักสองคนที่เป็นคุณแม่ทั้งคู่ได้หยิบเอา Pain point ดังกล่าวมาสร้างสรรค์ให้กลายเป็นนิทานในรูปแบบใหม่ที่สามารถ Customize ได้ตั้งแต่ชื่อลูกไปจนถึงคาแรกเตอร์ และนี่คือเรื่องราวของ Treasured Tales ที่อยากเป็นสื่อกลางความรู้สึกดีๆ ผ่านนิทานแห่งความรัก
จากแม่ของลูกสู่ธุรกิจจากความรัก
เม๋ย์กับเต๋าได้เล่าย้อนกลับไปก่อนที่จะเริ่มต้นธุรกิจให้ฟังว่าพวกเธอเป็นคุณแม่ที่มีลูกวัยใกล้เคียงกันแถมยังเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน มีแนวทางเลี้ยงลูกคล้ายกันและชอบเล่านิทานให้ลูกฟังเหมือนกัน โดยเม๋ย์ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นให้ฟัง
“บ้านของเราสองคนทั้งเม๋ย์และเต๋าก็จะมีนิทานเยอะมาก เพราะแม่ทั้งคู่ชอบอ่านหนังสือมาก่อน พอมีลูกก็เห็นว่าการอ่านนิทานมันดีต่อลูก ส่งเสริมเรื่องความสัมพันธ์ สมองและการใช้ภาษาด้วย เวลาเราอ่านหนังสือก็พยายามจะเปลี่ยนชื่อตัวละครในนิทานให้เป็นลูกเรา บางทีก็ไม่ตรง ทรงผมก็ไม่ใช่ เราเลยลองคิดว่างั้นทำนิทานคัสโตไมซ์ที่เป็นลูกเราได้ไหม เลยลองคุยกับเต๋าแล้วชวนกัน จากนั้นก็เริ่มมาคุยกันว่าจะต้องทำยังไงบ้าง”
โดยเต๋าเสริมต่อว่าตอนแรกที่ทำนิทานไม่ได้คิดว่าจะกลายเป็นธุรกิจที่จริงจัง เพราะเป็นการเริ่มต้นจากที่พวกเธออยากทำนิทานเพื่อลูกของตัวเองและทำแจกลูกของเพื่อนๆ เพื่อเป็นของขวัญ
“ตอนแรกที่ทำไม่ได้คิดว่าจะมีคนสนใจ เราทำสนองความต้องการของตัวเอง ไม่ได้คิดเลยว่าจะมีมาถึงเล่มสอง เล่มสามออกมาด้วยซ้ำ ตอนแรกเราทำเป็นของขวัญให้เพื่อนๆ ที่มีลูก กลุ่มเราที่สนิทกันจะมี 4-5 คน มีลูกวัยเดียวกัน งั้นเราก็ทำแจกในวงเพื่อนไปก่อน ไม่ได้คิดว่ามันจะปากต่อปากด้วยซ้ำ” เต๋าเล่า
หลังจากที่พวกเธอตัดสินใจว่าจะทำนิทาน ขั้นตอนต่อไปก็มองหานักวาดที่ตรงใจ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้ลายเส้นที่พวกเธอสองคนต้องการ
“หลังจากที่เราให้นักวาดลองวาดภาพเทสมาหลายคน เราก็เจอน้องคนนี้ที่วาดภาพที่เราชอบ ลายเส้นละมุน ใช้แสงสีที่สื่อถึงความรักของแม่กับลูกได้จริงๆ เม๋ย์ก็จะเป็นคนเขียน มีพี่สาวอีกคนมาแต่งให้มันสละสลวยขึ้น เรื่องราวจะเป็นความในใจของพ่อกับแม่ที่อยากสื่อให้ลูกว่าเรารักลูกนะ รักลูกในสถานการณ์ไหนบ้าง ผ่านเหตุการณ์อะไรบ้างที่เราเห็นว่าเขาน่ารัก เหมือนเป็นชีวิตประจำวัน ลูกก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เราเอาโมเมนต์ที่ประทับใจในชีวิตของเรากับเต๋าด้วยว่ามีโมเมนต์อะไรบ้าง” เม๋ย์เล่าถึงเรื่องราวในหนังสือ
“เรารักเขาทั้งช่วงเวลาที่ยากลำบาก เวลาที่เราอดหลับอดนอน อุ้มลูก กล่อมลูก ทุกอย่างเลย แม้ว่าลูกกินข้าวเลอะเทอะ ลูกหกล้ม แต่เราก็รักทุกสิ่งที่มันเกิดขึ้น เพราะมันคือประสบการณ์ของลูกและประสบการณ์ของเราด้วย” เต๋าเล่าเสริม
ใช้วิธีการบอกปากต่อปากให้เข้าถึงใจลูกค้า
ทางด้านจุดเด่นของหนังสือนิทานจาก Treasured Tales จะเป็นการที่ให้ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนชื่อคาแรกเตอร์ให้เป็นชื่อลูกของตัวเองได้ รวมถึงการเปลี่ยนลักษณะของตัวละครให้คล้ายกับลูกของเรามากที่สุดด้วย
“หนังสือนิทานเรามีให้เลือก 2 ภาษาว่าลูกค้าอยากได้ภาษาอังกฤษหรือภาษาไทย นอกจากนี้หลักๆ คือการเปลี่ยนชื่อให้เป็นชื่อลูก ซึ่งจะปรากฏอยู่หลายที่มากๆ ในหนังสือ แล้วก็ชื่อคำเรียกพ่อแม่ ปะป๊า ม่ามี๊ แม่ พ่อ เราเปลี่ยนให้ได้ตามที่ลูกค้าเลือก ส่วนคาแรกเตอร์หน้าตาจะคล้ายๆ กันหมด แต่หลักๆ คือทรงผมที่จะเปลี่ยนได้ มีทรงผมเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิง แล้วก็จะมีคำอุทิศ เหมือนเป็นข้อความอวยพรหรือข้อความที่พ่อแม่เขียนถึงลูก ใส่เข้าไปในหน้าแรกของหนังสือได้” เม๋ย์เล่าถึงจุดเด่นของหนังสือ
นอกจากนี้เต๋ายังเล่าต่อถึงการทำการตลาดของ Treasured Tales ว่าจะเน้นไปที่การบอกปากต่อปากของกลุ่มพ่อแม่ หลังจากนั้นก็เน้นการยิงโฆษณารวมถึงเพิ่มช่องทางการขายจาก Facebook เป็น Shopee รวมถึง Line และ Instagram ด้วย
“เราเริ่มจากปากต่อปากก่อน เพราะหนังสือเราค่อนข้างมีรูปแบบที่ซับซ้อนและเข้าใจยากนิดหนึ่ง เราเริ่มจากเพื่อนที่เรารู้จักแล้วก็มีคนรู้จักอื่นๆ ของเขาต่อไป เขาก็จะช่วยลงรีวิวให้ โปรโมตต่อไปเรื่อยๆ จนเริ่มเป็นที่รู้จักขึ้นมานิดหนึ่ง หลังจากนั้นก็เริ่มยิงโฆษณา แล้วก็เพิ่มช่องทางการขาย มีแฟนเม๋ย์เข้ามาช่วยดูด้วย เราเพิ่ม Shopee อีกทางหนึ่ง ตอนนี้หนังสือเราจะมี 3 แบบ มีปกอ่อน 1,190 บาท ปกแข็ง 1,890 บาทและปกแข็งพร้อมกล่องของขวัญ 2,090 บาท แบบนี้จะพิเศษขึ้นมาคือบางคนเขาซื้อเป็นของขวัญเยี่ยมคลอด มีหน้าพิเศษด้านหลังสามารถใส่ข้อความเพิ่มเติมและใส่รูปถ่ายได้ด้วย” เต๋าเล่า
เต๋าได้เล่าเสริมถึงโอกาสของการทำหนังสือนิทานในยุคปัจจุบันที่มีพ่อแม่หลายคนให้ความสำคัญของการอ่านนิทานให้ลูกฟังมากขึ้น
“เทคโนโลยีที่มาแรง ทุกคนพูดถึงแต่ E-book เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครอ่านหนังสือแล้วล่ะ บางคนก็ยังเคยถามว่า ทำไมถึงทำหนังสือนิทาน เรารู้สึกว่าหนังสือคือสิ่งที่จับต้องได้ มันคือสิ่งที่ได้ถือ ได้เห็น ได้สัมผัส มันคือสิ่งที่ไม่ใช่แค่เปิดไอแพดขึ้นมาแล้วชี้ไปตามจอ แต่มันคือสิ่งที่อยู่ตรงนั้นเสมอ ยิ่งมีพ่อแม่พิมพ์มาว่าดีใจนะ ที่ทำหนังสือเล่มนี้ออกมา เขาเก็บให้ลูกเขาได้ตลอดชีวิตจริงๆ เป็นหลักฐานให้เห็นเหมือนจดหมายความรักจากพ่อแม่ถึงลูก” เต๋าเล่า
โดยพวกเขาได้ปิดท้ายถึงหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจนี้ให้ฟังโดยเริ่มจากเม๋ย์ที่เขามองว่าการทำธุรกิจนี้คือความจริงใจที่มีต่อลูกค้าและไม่ใช่แค่การทำธุรกิจแต่เป็นการส่งต่อความรักจากพ่อแม่สู่ลูกด้วย
“เราทำธุรกิจนี้จาก Pain point ของเราเอง เรายังไม่เคยเจอหนังสือที่เล่าความในใจของพ่อแม่ต่อลูกจริงๆ เรารู้สึกว่านิทานเรื่องนี้อยากให้เขาได้เก็บไว้ 20 ปี 30 ปีไปจนอนาคตในวันที่พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว แต่เขายังมีนิทานเล่มนี้อยู่ เราคิดว่าการทำธุรกิจนี้กันอย่างจริงใจ ไม่ได้ต้องการกำไรเยอะ แต่เราอยากเป็นสื่อกลางความรู้สึกระหว่างพ่อแม่กับลูก เราดีใจมากๆ เวลาพ่อแม่เขียนคำอุทิศถึงลูก นั่งทำแล้วก็น้ำตาไหล รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ทำตรงนี้และภูมิใจที่เขาไว้ใจให้หนังสือเราเป็นสื่อกลางความรู้สึกของครอบครัวเขา” เม๋ย์ปิดท้าย
“เวลาเราเขียนโพสต์ บางทีเราจะเขียนขอบคุณลูกค้าบ่อยมากๆ เพราะเรารู้สึกขอบคุณจริงๆ มันซาบซึ้ง ไม่ใช่แค่เราสองคนที่บอกรักลูกได้ แต่เป็นคุณแม่อีกสิบคน อีกร้อยคนที่บอกรักลูกได้เหมือนเรา เรารู้สึกดีมาก เหมือนที่เม๋ย์บอกว่าเวลาอ่านคำอุทิศแล้วน้ำตาจะไหลจริงๆ พ่อแม่ทุกคนเขาเขียนออกมาจากใจจริงๆ” เต๋าปิดท้ายถึงหัวใจสำคัญ
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup