Text : Vim Viva

     ไม่น่าเชื่อว่ากระแสบ้านจิ๋วจะได้รับความนิยมขนาดที่สตาร์ทอัพที่ให้บริการออกแบบและรับสร้างบ้านจิ๋วรายหนึ่งที่ลงทุนในธุรกิจเพียง 2 ล้านกว่าบาท สามารถคืนทุนได้ในเวลาไม่ถึงปี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าไลฟ์สไตล์ของผู้คนเปลี่ยนไปในทิศทางที่ว่าลดความยุ่งยากและใช้ชีวิตเรียบง่ายขึ้นโดยตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป วิถีชีวิตแบบมินิมอลและยั่งยืนเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้คนลดขนาดที่อยู่อาศัยลงด้วย และหันมาสร้างบ้านขนาดเล็กจิ๋วมากขึ้น เทียบกับบ้านขนาดมาตรฐานทั่วไป บ้านจิ๋วโดยทั่วไปจะมีขนาดไม่เกิน 500 ตารางฟุตหรือประมาณ 46 ตารางเมตร 

     แม้จะเริ่มเป็นที่สนใจ ธุรกิจบ้านจิ๋วก็ยังเป็นตลาดขนาดเล็กและเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม แต่ บิ๊ก ไทนี่ (Big Tiny) สตาร์ทอัพจากสิงคโปร์ได้มาแชร์ไอเดียการทำธุรกิจบ้านจิ๋วที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์จนทำให้บริษัทที่เพิ่งก่อตั้งไม่กี่ปีเติบโตอย่างรวดเร็ว

     บิ๊ก ไทนี่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2017 โดยเพื่อนรักวัยประถม 3 คนได้แก่เอเดรียน เจีย, เจฟ โหย่ว และ เดฟ อึ้ง ไอเดียธุรกิจผุดขึ้นช่วงที่เอเดรียนไปเที่ยวพักผ่อนที่ออสเตรเลียและได้พักตามฟาร์มสเตย์ตามเกรท โอเชี่ยน โร้ดซึ่งเป็นเส้นทางเลียบมหาสมุทรแปซิฟิกในรัฐวิคตอเรียและมีทัศนียภาพสวยงาม เมื่อกลับมายังสิงคโปร์และได้เจอกับเพื่อน ๆ จึงเล่าว่าเขามองเห็นโอกาสที่จะนำคอนเซปต์บ้านจิ๋วมาทำเป็นธุรกิจท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ที่จะทำให้ห้องพักเพื่อการท่องเที่ยวพักผ่อนเปลี่ยนไป

     สหายทั้ง 3 ล้วนจบจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์และมีความรู้ด้านอสังหาริมทรัพย์ ด้านเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมและวัสดุศาสตร์ รวมถึงปูมหลังด้านการตลาดและการบริหารธุรกิจจึงตกลงปลงใจทำธุรกิจด้วยกันโดยเบื้องต้นลงทุนไป 100,000 ดอลลาร์สิงคโปร์หรือประมาณ 2.5 ล้านบาท นอกเหนือจากการออกแบบและผลิตบ้านจิ๋วเพื่อจัดส่งให้ลูกค้าทั่วโลกแล้ว บิ๊ก ไทนี่ยังจับกลุ่มเจ้าของที่ดินทำเลดี วิวทิวทัศน์สวยงามเพื่อนำเสนอบ้านจิ๋วแบบต่าง ๆ ให้เป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมนั้น

     โดยเจ้าของที่ดินซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรสามารถปล่อยเช่าบ้านจิ๋วนั้นให้กับคนที่ต้องการปลีกวิเวกและพักผ่อนเงียบๆ ท่ามกลางธรรมชาติ หรือคนที่ต้องการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในฟาร์ม เช่น ขับรถเอทีวี ขี่ม้า เดินป่า หรือชิมไวน์ การให้บริการที่เป็นบ้านพักขนาดจิ๋วได้รับความน่าสนใจโดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยวที่ชมชอบการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนและทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด เนื่องจากที่พักในแบบบ้านจิ๋วจะใช้น้ำ ไฟฟ้าและทรัพยากรต่าง ๆ น้อยกว่าและดูแลน้อยกว่าเมื่อเทียบกับที่พักมาตรฐานทั่วไป     

     และสิ่งที่ทำให้บ้านจิ๋วของบิ๊ก ไทนี่แตกต่างจากบริษัทอื่นคือการออกแบบและวิธีการก่อสร้าง นั่นคือจะมีการผลิตชิ้นส่วนแต่ละชิ้นให้สำเร็จก่อนซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 เดือน เมื่อนำมาประกอบหน้างานจะใช้เวลารวดเร็วไม่ถึง 3 ชั่วโมง ที่น่าสนใจ บ้านจิ๋วแต่ละหลังจะประกอบด้วยวัสดุที่ยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ พลาสติกรีไซเคิลและไม้ประกอบใหม่ นอกจากนั้นยังติดตั้งระบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ชักโครกประหยัดน้ำ ถังเก็บน้ำฝนเพื่อใช้ในห้องน้ำ และการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อประหยัดพลังงาน ส่วนการติดตั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นช่างก่อสร้าง ช่างไฟและช่างระบบน้ำล้วนเป็นช่างในพื้นที่ที่มีความชำนาญ

     นับตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมา บิ๊ก ไทนี่ ส่งออกบ้านจิ๋วเกือบ 200 หลังไปยังออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อิตาลี ไต้หวัน และมาเลเซีย แบบบ้านที่ได้รับความนิยมสุดได้แก่ “เรเยส” ขนาด 12 ตารางเมตร และ “มินิมอลลิสต์” ที่มีขนาด 18 ตารางเมตร นอกจากธุรกิจออกแบบและสร้างบ้านจิ๋วแล้ว บิ๊ก ไทนี่ยังมีบริการ “ไทนี่ อะเวย์” (Tiny Away) ที่เปิดให้ลูกค้าจองห้องพักเป็นบ้านจิ๋วในทำเลต่าง ๆ ซึ่งได้รับการตอบรับดีมาก

     อย่างบ้านจิ๋วที่ให้บริการในออสเตรเลีย จะมีลูกค้าจองเข้ามาตลอด จากบ้านจิ๋ว 45 หลังเมื่อปี 2019 ได้เพิ่มจำนวนมาอยู่ที่กว่าร้อยหลังโดยมากอยู่ในรัฐนิวเซ้าท์เวล วิคตอเรีย ควีนแลนด์ เซ้าท์ออสเตรเลีย และแทสมาเนีย สนนราคาจะอยู่ที่ 150-250 ดอลลาร์ต่อคืน โดยมากลูกค้าจะพักไม่ต่ำกว่า 3 คืน  

     หลังจากที่ไปทำตลาดในต่างประเทศ ล่าสุดบิ๊ก ไทนี่ได้กลับมาโฟกัสที่ตลาดในประเทศโดยให้บริการที่พักบ้านจิ๋วบนเกาะลาซารัสซึ่งอยู่ทางใต้ของสิงคโปร์ ความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจสายเขียวเพื่อสิ่งแวดล้อมทำให้บิ๊ก ไทนี่ได้รับรางวัล Sustainability Open Innovation Challenge ประจำปี 2021 ซึ่งจัดโดย Enterprise Singapore รัฐวิสาหกิจที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจในสิงคโปร์

ที่มา : 

https://vulcanpost.com/824282/big-tiny-sustainable-tiny-houses-ecotourism-singapore/
https://sg.style.yahoo.com/stay-6-metre-tiny-house-singapore-055538627.html


www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup