Q-Life
เที่ยวซานฟรานซิสโก ชมมหานครแห่งการเริ่มต้น
Main Idea
- ซานฟรานซิสโก เป็นมหานครฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา เมืองมักถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา จนได้รับฉายาว่าเมืองแห่งสายหมอก และยังเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของอเมริกาตะวันตก ทั้งยังเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีระดับโลก
- ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเดินทางมาเยือนมหานครแห่งนี้ไม่ขาดสาย โดยมีสถานที่ที่พร้อมจะเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนต้องเช็กลิสต์มากมาย
ภาพสะพานใหญ่สีส้มแดงลอยเด่นท่ามกลางไอหมอกทอดข้ามทะเลกว้างเชื่อมสองแผ่นดินเอาไว้ด้วยกันคือ สัญลักษณ์ในความทรงจำของใครหลายคน เมื่อเอ่ยถึงซานฟรานซิสโก ภาพพี่ก้อง-สหรัถ กับ พี่หมิว-ลลิตา จากละครรักโรแมนติกผุดขึ้นมาทุกทีที่นึกถึงมหานครแห่งนี้ ถ้าใครนึกภาพตามออก นั่นแปลว่าเราเกิดรุ่นเดียวกัน ;)
ซานฟรานซิสโก เป็นมหานครฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา เป็นส่วนหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย ตั้งอยู่บนเนินเขาบริเวณอ่าวซานฟรานซิสโก อีกด้านเป็นชายฝั่งติดมหาสมุทรแปซิฟิก ด้วยลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้ทำให้ทั้งเมืองมักถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา จนได้รับฉายาว่าเมืองแห่งสายหมอก อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 15 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ ยังมีประชากรหนาแน่นและเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจของอเมริกาตะวันตก ทั้งยังเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งคุณอาจได้กระทบไหล่เดินชนอนาคตเศรษฐี Startup หน้าใหม่ในซิลิคอนวัลเลย์ที่อยู่ถัดไปทางตอนใต้ของซานฟรานซิสโกก็เป็นได้ ทั้งหมดนี้ทำให้มหานครแห่งนี้มีความสำคัญอันดับต้นๆ ของประเทศ หากจะเรียกว่าเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศรองจากนิวยอร์กก็ไม่ผิดนัก
กว่าจะมาเป็นมหานครเช่นทุกวันนี้ ซานฟรานซิสโกก่อร่างสร้างตัวจากเพียงเนินทรายเวิ้งว้างว่างเปล่าในอดีต มีเพียงชนพื้นเมืองอาศัยอยู่ไม่มากนัก กระทั่งชาวสเปนเข้ามาตั้งถิ่นฐานแล้วเรียกชื่อเมืองใหม่นี้ว่า เซนต์ฟรานซิส (Saint Francis) แต่เมืองนี้เจริญขึ้นอย่างผิดหูผิดตาอย่างแท้จริงในช่วงของยุคตื่นทอง หรือที่เรียกว่า California Gold Rush ในปี พ.ศ.2391 ทำให้นักแสวงโชคจากทั่วทุกมุมโลกมุ่งหน้าเดินทางมาพร้อมความหวังจะได้ครอบครองแร่เรืองรองล้ำค่าสร้างเนื้อสร้างตัวบนดินแดนแถบนี้ นั่นทำให้ทางภาคตะวันตกของสหรัฐอเมริการวมถึงซานฟรานซิสโกขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้เมืองแห่งนี้กลายเป็นมหานครใหญ่ที่สุดในตะวันตกของประเทศ
ทว่ามหานครแห่งนี้ตั้งอยู่บนรอยเลื่อนใหญ่ของโลก จึงเกิดแผ่นดินไหวอยู่บ่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่มีแรงสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อยจนชาวเมืองแทบไม่รู้สึกถึงการบดเบียดปะทะกันของแผ่นเปลือกโลก แต่ในปี พ.ศ.2449 ชาวเมืองซานฟรานซิสโกต้องเผชิญหน้ากับการสั่นไหวอย่างรุนแรงของพื้นธรณีที่ฉีกทั้งเมืองให้พังพินาศ และเกิดเพลิงไหม้ตามมา ในขณะที่สมัยนั้นยังไม่มีระบบการดับเพลิงที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับท่อส่งน้ำถูกทำลายจากแผ่นดินไหว เพลิงจึงลุกลามมอดไหม้เนื่องจากไม่สามารถควบคุมไฟมรณะนั้นได้ ทำให้ซานฟรานซิสโกย่อยยับวอดวาย ทิ้งไว้เพียงคราบน้ำตาบนก้อนอิฐหินและเศษเหล็ก หวนคืนกลับมาสู่จุดเริ่มต้นที่ไม่มีอะไรเลยอีกครั้ง แต่ในอีกไม่กี่ทศวรรษต่อมา ซานฟรานซิสโกก็สร้างตัวเองขึ้นมาใหม่จนกลับมาผงาดฉายแสงได้อีกครั้ง
แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเดินทางมาเยือนมหานครแห่งนี้มากมาย ซึ่งต้องอาศัยโชคช่วยสักเล็กน้อยเพราะทั้งเมืองมักตกอยู่ในภวังค์ของหมอกหนา ภาพสะพานใหญ่สีส้มอมแดงร้อนแรงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมือง หรือสะพานโกลเดนเกตที่ผู้สร้างสาดสีสดหมายมั่นให้โดดเด่นท่ามกลางม่านไอหมอก แต่สะพานมักเขินอายซ่อนตัวหรือยอมเผยให้เห็นบางส่วนเท่านั้น หากลองเดินข้ามสะพานก็จะได้เต็มอิ่มกับภาพมุมกว้างของเมืองใหญ่ที่อ่าวซานฟรานซิสโกเป็นฉากหน้า ทั้งยังมองเห็นคุกอัลคาทราซอยู่ลิบๆ ชวนให้นึกถึงเรื่องราวของคุกที่ไม่มีวันหลบหนีได้ แต่ก็มีนักโทษสามารถหลบหนีจากเรือนจำแห่งนี้ไปได้ด้วยการว่ายน้ำข้ามอ่าวอันเย็นยะเยือกแห่งนี้
อีกกิจกรรมในเช็กลิสต์ของผู้มาเยือนคือ การขึ้นรถราง หรือเคเบิลคาร์สุดคลาสสิกที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ปี พ.ศ.2416 วิ่งผ่านเนินลาดชันให้ได้ชมทัศนียภาพของบ้านเมือง ซึ่งหากคุณมีเวลาอ้อยอิ่งในเมืองสุดชิวนี้ไม่มากนัก แนะนำให้เลือกขึ้นสาย Powell-Hyde Line โดยขึ้นจากต้นสายอย่างที่สถานี Powell ดีที่สุด เพราะนักท่องเที่ยวทุกคนต่างมุ่งหน้ามาหาประสบการณ์จากการได้โดยสารรถรางคลาสสิกนี้จึงทำให้แถวที่รอต่อคิวยาวมาก ดังนั้น การขึ้นกลางทางจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเบียดขึ้นไปได้ นอกจากนี้ ระหว่างรอคิวนั้นยังจะได้ดูวิธีการกลับรถรางที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่อดีต คือเมื่อรถรางมาถึงจุดกลับรถที่สถานีสุดสายการเดินรถ เจ้าหน้าที่จะช่วยกันใช้แรงหมุนแผ่นไม้ที่รถรางจอดนิ่งอยู่ให้หันกลับไปอีกทาง แล้วรถจึงจะเริ่มวิ่งย้อนกลับไปในเส้นทางเดิม
ส่วนสาเหตุที่เราแนะนำให้เลือกสาย Powell-Hyde Line ก็เพราะคุณจะสามารถไปลงที่จุดสูงสุดของถนนซิกแซก หรือถนนลอมบาร์ด (Lombard Street) ซึ่งเป็นถนนแคบคดเลี้ยวซิกแซกไปมาและมีความลาดชันถึง 40 องศา เพื่อชะลอความเร็วของรถยนต์ที่ขับบนถนนเส้นนี้ ช่วยลดอุบัติเหตุ แต่ระหว่างทางก่อนจะไปถึงถนนลอมบาร์ดให้คุณคอยสังเกตข้างทางดีๆ ก็จะได้เจอกับร้านไอศกรีมสเวนเซ่นส์สาขาแรกของโลกบนหัวมุมถนน Union Street ตัดกับ Hyde Street ซึ่งหากไม่คอยจับตาให้ดี คุณจะมองผ่านเลยไปอย่างแน่นอน
หลังจากเดินซิกแซกลงมาตามถนนลอมบาร์ด สามารถเดินต่อไปหาซีฟู้ดส์อร่อยๆ ได้ที่ฟิชเชอร์แมนส์ วาร์ฟ (Fisherman’s Wharf) อีกจุดเช็กอินของนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นท่าเรือเก่าแก่ของเมือง จึงมีร้านอาหารทะเลให้เลือกเพียบ เดินถัดไปอีกอึดใจก็จะถึงเพียร์ 39 (Pier 39) เมื่อใกล้จะถึงคุณจะรู้สึกได้ว่ามาถูกทางแล้ว เพราะจะได้กลิ่นสิงโตทะเล ใช่! กลิ่นสิงโตทะเล คุณอาจจะยังนึกไม่ออกว่าเป็นยังไง แต่ถ้าได้กลิ่นมันโชยมาในอากาศคุณจะมั่นใจได้ทันทีว่าใช่ ถึงแม้จะไม่เคยได้กลิ่นมันมาก่อน ที่นี่จะมีฝูงสิงโตทะเลมานอนเบียดเสียดพึ่งแดดอย่างเกียจคร้านกันสลอน
นอกจากนี้ บริเวณท่าเรือแถบนี้ยังสามารถมองเห็นคุกอัลคาทราซได้อย่างชัดเจนอีกด้วย และหากอยากจะนั่งเรือข้ามไปเที่ยวก็สามารถซื้อทัวร์จากแถวนี้ได้เลย ซึ่งแขกไปใครมาก็คงจะต้องมุ่งหน้าไปฝากท้องที่ย่านไชน่าทาวน์กันสักมื้อ ชุมชนชาวจีนที่ซานฟรานซิสโกนั้นมีขนาดใหญ่จนมีคำกล่าวว่า ที่นี่เป็นชุมชนชาวจีนนอกประเทศจีนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่จะว่าไปชุมชนชาวเอเชียในซานฟรานซิสโกก็มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว ซึ่งมีทั้งชุมชนชาวเกาหลี ชาวไทย ชาวเวียดนาม และอื่นๆ ดังนั้น คนไทยอย่างเราที่ไปเที่ยวซานฟรานซิสโกจึงไม่ต้องกลัวจะโหยหาอาหารเอเชียที่คุ้นลิ้นเลยทีเดียว
ก่อนลาจากซานฟรานซิสโก ทริปนี้จะไม่สมบูรณ์หากขาดบ้านสีพาสเทลแสนหวานสไตล์วิกตอเรียนที่ยังหลงเหลืออยู่จากเหตุไฟไหม้ใหญ่ในอดีตครั้งนั้น ตั้งอยู่ริมถนน Steiner Street ซึ่งรู้จักกันในนาม Seven Sisters หรือ Painted Ladies โดยฝั่งตรงข้ามเป็นสวนสาธารณะร่มรื่นให้ทั้งชาวเมืองและนักท่องเที่ยวได้เอนกายพักผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า
How to Get There
การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในเมืองสะดวกสบายมีหลายรูปแบบ หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.sfmta.com/getting-around/muni/fares
มาเที่ยวซานฟรานซิสโกทั้งทีห้ามพลาด Cable Car หรือรถรางของที่นี่สักครั้ง ซึ่งมี 3 เส้นทางคือ Powell-Hyde Line, Powell-Mason Line และ California Line ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sfcablecar.com
นอกจากนี้ มาเที่ยวเมืองของชาว Startup ทั้งทีก็ไม่ควรพลาดใช้บริการแอพพลิเคชันอย่าง Uber ก็สะดวกสบายดี
หากจะเช่ารถขับที่นี่ให้ทำใจเรื่องค่าจอดรถที่แสนแพงเอามากๆ แถมจอดยากเพราะทั้งเมืองเป็นเนินชัน
Where to Stay
เราแนะนำที่พักในย่านยอดนิยมอย่าง Union Square ซึ่งใกล้ระบบขนส่งสาธารณะต่างๆ ทำให้ไปไหนมาไหนสะดวก ไม่ว่าจะมาจากสนามบิน หรือจะเดินทางท่องเที่ยวในเมือง ทั้งยังใกล้สถานี Powell ต้นสายของเคเบิลคาร์ ทั้งยังมีร้านอาหารมากมาย รวมถึง Whole Foods Market เป็นตู้กับข้าวยามหิวได้สบายๆ แถมรายล้อมไปด้วยห้างสรรพสินค้าแหล่งช้อปปิงสารพัดแบรนด์ให้ขาช้อปได้ละลายทรัพย์
Where to Eat
ย่านฟิชเชอร์แมนส์ วาร์ฟ มีร้านอาหารทะเลให้เลือกหลากหลายราคาตามงบในกระเป๋า เมนูที่นิยมคือ Clam Chowder in Bread Bowl เป็นซุปหอยลายเสิร์ฟในขนมปังที่คว้านเป็นรูปชาม หรือที่เรียกว่า Sourdough ซึ่งก็คือ ขนมปังสไตล์ซานฟรานซิสโก โดยใกล้ๆ กันมีร้าน Boudin Bakery ที่มีการสาธิตวิธีทำขนมปัง Sourdough สดใหม่ทุกวัน
สำหรับคนรักช็อกโกแลตต้องพุ่งตัวไปที่ร้าน Ghirardelli มีหลายสาขา แต่ที่ Ghirardelli Square อยู่ถัดจากฟิชเชอร์แมนส์ วาร์ฟไปอีกหน่อย สายขนมหวานห้ามพลาดช็อกโกแลต และไอศกรีมรสเข้มข้ม ใครจะซื้อช็อกโกแลตจากที่นี่กลับไปเป็นของฝากก็ได้
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup