Finanace

5 เคล็ดลับ ปรับนิสัยการใช้เงิน เพื่อความมั่นคงในธุรกิจ


 
 


     ในชีวิตของการเป็นผู้ประกอบการและการทำธุรกิจ เราจำเป็นต้องมีความสามารถและรอบรู้ในหลายๆ ด้าน เพื่อบริหารจัดการชีวิตส่วนตัว และองค์กรให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น แต่ศาสตร์สาขาหนึ่งที่มักสร้างรอยร้าวให้กับชีวิตส่วนตัวและการดำเนินธุรกิจได้มากที่สุดก็คือ “การเงิน” ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่ดำเนินธุรกิจโดยปราศจากการคิด และการเตรียมความพร้อมสถานภาพด้านการเงินที่ดี

     ข้อจำกัดและข้ออ้างที่เด่นชัดก็คือ “ไม่มีเวลา” โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีครอบครัว เวลาในการวางแผนและบริหารจัดการธุรกิจยิ่งลดน้อยลง แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะนี่คือแนวทางการปรับนิสัยทางการเงินสำหรับผู้ประกอบการยุค 2561 เพื่อให้สามารถดูแลสุขภาพการเงินให้ดีได้มากยิ่งขึ้น เริ่มจาก
 
     1. กำหนดเป้าหมายทางการเงินที่สำคัญขึ้นมา
     การกำหนดเป้าหมายการใช้จ่ายที่สำคัญรายปี ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน ค่าวัสดุ ค่าอุปกรณ์ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแรงลูกจ้าง ค่าแรงตัวเอง ทั้งหมดนี้เพื่อคำนวณหาต้นทุนทางธุรกิจ จะช่วยให้เรารู้ว่าในอนาคตจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ และเราจะต้องพยายามเก็บรักษาเงินเอาไว้เท่าไหร่เพื่อให้สามารถบริหารจัดการธุรกิจได้ตามแผน ซึ่งถ้าเราไม่พยายามคิดทบทวนให้ดีในวันนี้ รับรองได้ว่าในอนาคตต้องลำบากและเดือดร้อนกว่าเดิมอีกหลายเท่า

     2. สรุปงบประมาณในแต่ละเดือน
     นิสัยที่ผู้ประกอบการควรมีและพัฒนาให้เกิดเป็นความชำนาญก็คือ การตรวจสอบค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน หลังจากนั้นให้เริ่มต้นประมาณการค่าใช้จ่ายในเดือนต่อไปด้วย เพื่อตรวจสอบรายรับ รายจ่าย ยอดขาย และกำไร จะได้มั่นใจว่าเงินไม่รั่วไหลไปไหน มีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นมากเกินไปหรือไม่ หากมีจะลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นนั้นอย่างไร ซึ่งทุกธุรกิจมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไปตามความจำเป็น และช่วงเวลา  การจะใช้จ่ายอะไรควรต้องตัดสินใจให้รอบคอบ และเมื่อใช้จ่ายเงินไปกับสิ่งที่มีความสำคัญทางธุรกิจ ถูกที่ ถูกเวลา ก็จะช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินได้
นอกจากนี้ ยังต้องดูไปถึงยอดขายด้วยว่าส่วนใดลดลงไปบ้าง แล้วจะสามารถ Boost ยอดขายได้อย่างไร และกระแสเงินสดยังเพียงพอที่จะบริหารจัดการธุรกิจต่อไปอีกกี่เดือน ใครที่ยังไม่เริ่มทำสิ่งเหล่านี้ ขอแนะนำว่าควรเริ่มต้นได้แล้วตั้งแต่วันนี้

     3. ตรวจสอบการใช้บัตรเครดิตให้ดี
     หนึ่งในปัญหาหลักของผู้ที่ใช้บัตรเครดิตคือ มักจะไม่ทราบว่าใช้เงินไปเท่าไหร่แล้ว เกินวงเงินหรือยัง และจะโดนดอกเบี้ยเท่าไหร่ ซึ่งหากเป็นการใช้บัตรเครดิตเพื่อการทำธุรกิจแล้วต้องจ่ายดอกเบี้ย งานนี้บอกได้เลยว่าไม่คุ้มเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นพยายามตรวจสอบวงเงินให้ดี หรือจะใช้วิธีการตัดเงินจากบัญชีโดยเฉพาะแทนก็ได้ เช่น ฝากเงินเข้าบัญชีเอาไว้ 100,000 บาท และให้บัตรเครดิตหักเงินจากบัญชีเงินฝากแทน ก็จะทำให้เราสามารถตรวจสอบค่าใช้จ่าย และยอดคงเหลือรวมถึงทำบัญชีค่าใช้จ่ายได้สะดวกและง่ายขึ้น นอกจากนี้ อย่าลืมตรวจสอบความถูกต้องของรายการสินค้าและจำนวนเงินที่จ่ายผ่านบัตรทุครั้ง เพื่อป้องกันรายการที่อาจจะเกิดขึ้นโดยที่คุณไม่ได้เป็นผู้ทำรายการนั้นๆ 

     4. ขอใบเสร็จทุกครั้ง
     เวลาที่เราไปซื้อสินค้า หรือจ่ายเงินในร้านสะดวกซื้อ พนักงานขายมักถามเราว่า ต้องการใบเสร็จหรือไม่ ซึ่งโดยปกติเรามักตอบว่า “ไม่เป็นไรครับ/ค่ะ” เพราะอาจไม่ต้องการใบเสร็จ ไม่อยากเอาใบเสร็จมาใส่กระเป๋าเงินให้รก ไม่อยากมาเอาถือ หรือเหตุผลต่างๆ นานา

     แต่ในการทำธุรกิจ ใบเสร็จจะช่วยเตือนความจำเราได้เป็นอย่างดีว่า เราซื้ออะไรไปวันไหน ที่ไหน มีอะไรบ้าง และมูลค่าเท่าไหร่ รวมถึงใช้ตรวจสอบอีกครั้งว่า ทางร้านค้าไม่ได้คิดเงินเราผิด นี่ยังไม่รวมถึงการขอใบกำกับภาษีเพื่อนำไปลดหย่อนภาษีสำหรับธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลด้วย เพราะฉะนั้นการขอใบเสร็จเป็นเรื่องที่ดี เปรียบเสมือนบันทึกช่วยจำในการทำธุรกิจเลยทีเดียว

     5. ใช้เงินสดแทนบัตรเครดิต
     บัตรเครดิตสามารถตอบสนองความสะดวกสบาย มีโปรโมชันต่างๆ มาล่อลวงให้เราต้องใช้ ซึ่งบางครั้งอาจไม่จำเป็นต้องใช้เลยด้วยซ้ำ แต่เราก็ใช้ ดังนั้น หลังจากนี้ เรามาลองเปลี่ยนวิธีการจ่ายเงินเป็นเงินสดแทน โดยเริ่มจากจำนวนเงินทีละน้อยๆ เป็นการใช้เงินครึ่งหนึ่ง บัตรเครดิตครึ่งหนึ่ง ซึ่งจากผลวิจัยพบว่า เราจะสามารถประหยัดเงินได้มากถึง 15 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
 
     ลองปรับเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการใช้เงินตั้งแต่วันนี้ เพื่อความสมดุลและมั่นคงทางการเงินในวันข้างหน้า
 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี