Finanace
แค่ Credit Score แย่ ก็ทำให้ธุรกิจ Fail ได้
ทุกคนต่างรู้ดีว่าหากเรามีคะแนนเครดิต (Credit Score) ไม่ดี ก็จะส่งผลเสียหายต่อการเงินส่วนตัว ทั้งเรื่องการกู้เงินได้เฉพาะแพ็กเกจดอกเบี้ยที่สูงกว่าคนอื่น และข้อเสียต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งแม้ว่าในความเป็นจริงแล้วเครดิตทางธุรกิจกับเครดิตส่วนบุคคลจะเป็นคะแนนที่ถูกแยกออกจากกัน ทำให้ผู้ประกอบการคิดว่าเครดิตส่วนตัว (ที่ติดแบล็กลิสต์ หรือมีคะแนนเหลือน้อยมากๆ) จะไม่ส่งผลต่อการทำธุรกิจ
แต่จริงๆ แล้วถ้าเครดิตที่ไม่ดี ก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูแย่ไปทั้งหมด เพราะว่าการที่เรามี Credit Score ไม่ดี จะเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาในการทำธุรกิจทั้งหมด เริ่มต้นจากไม่มีใครกล้าให้กู้ หรือถ้าอยากกู้ก็ต้องยอมจ่ายดอกเบี้ยสูงๆ เพราะต้องรับประกันความเสี่ยงให้เจ้าของเงินด้วย ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกปฏิเสธไป อีกทั้งยังจะมีปัญหาระหว่างคู่ค้าคนอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องของความไว้เนื้อเชื่อใจเรื่องการจ่ายเงินและระยะเวลาการจ่ายเงิน จะเห็นว่าสาเหตุต่างๆ เหล่านี้อาจทำให้เราต้องยกเลิกความฝันในการเป็นผู้ประกอบการก่อนเวลาอันควร ดังนั้น เราจึงต้องพยายามระมัดระวังการใช้จ่ายเงินเพื่อให้คะแนนเครดิตส่วนตัวอยู่ในเกณฑ์ที่สูงเอาไว้
ทำไมคะแนนเครดิตส่วนบุคคลถึงสำคัญต่อการทำธุรกิจ?
หากคุณเป็นผู้ประกอบการมือใหม่ หรือยังไม่ค่อยมีประวัติในการทำธุรกิจมาก่อน ธนาคารหรือบริษัทให้กู้เงินก็จะทำการตรวจสอบประวัติส่วนบุคคลเป็นลำดับถัดไป ดังนั้น เมื่อพบว่าผู้ขอสินเชื่อมีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถจ่ายเงินคืนได้ มีคะแนนเครดิตส่วนบุคคลไม่ดี ก็อาจถูกปฏิเสธการขอสินเชื่อ หรือต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยที่สูงกว่าเกณฑ์ที่
1. ปัญหาต่อการกู้ยืม
ในสหรัฐอเมริกา คะแนนเครดิต (Credit Score) นั้น จะอยู่ระหว่าง 300-850 คะแนน โดยยิ่งสูงยิ่งดี แต่ในปัจจุบันแค่น้อยกว่า 600 คะแนนก็ถือว่าแย่แล้ว ทำให้ผู้ประกอบการที่ต้องการกู้ยืมเงินถูกปฏิเสธได้ง่ายๆ สุดท้ายเราจึงต้องไปกู้เงินจากแหล่งเงินทุนอื่นที่มีดอกเบี้ยสูงกว่าธนาคาร
ก่อนการกู้เงินผู้ประกอบการจึงควรคำนึงถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนจากการลงทุนให้ดี เช่น หากกู้เงิน 1 ล้านบาท จะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้คุ้มค่าหรือไม่ และสามารถจ่ายเงินคืนได้อย่างไร ส่วนเรื่องที่ผู้ให้กู้เงินคิดดอกเบี้ยในราคาที่สูง เป็นเพราะว่าเขารู้ว่าเราไม่สามารถไปกู้จากธนาคารได้ และอาจทราบด้วยว่าเรากำลังเริ่มต้นธุรกิจ ปัจจัยเหล่านี้เป็นความเสี่ยงที่สูง หากจะปล่อยเงินกู้ก็ต้องคิดเงินในอัตราที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงของเขาด้วยเช่นกัน
2. ปัญหาระหว่างคู่ค้าทางธุรกิจ
ไม่ใช่แค่ผู้ให้กู้เงินเท่านั้นที่สนใจ Credit Score ของเรา เพราะว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจกับเราจะให้ความสนใจกับ Credit Score กันแทบทุกคน ยกตัวอย่างเช่น เราต้องใช้บริการขนส่งสินค้า หากบริษัทที่มี Credit Score ที่ดี อาจชำระเงินก่อนเพียงครึ่งเดียว หลังจบงานจ่ายอีกครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าเรามี Credit Score ต่ำ ผู้ให้บริการส่งสินค้าอาจเรียกเก็บเงินทั้งหมดทันที เพื่อเป็นการรับประกันว่าเราจะไม่เบี้ยวแน่นอน
หรือหากเราทำธุรกิจร้านอาหาร และต้องสั่งวัตถุดิบอย่างต่อเนื่อง โดยร้านที่มี Credit Score ดีๆ อาจสามารถต่อรองกับคู่ค้าเพื่อขอระยะเวลาชำระเงิน (Credit Term) เป็นเวลา 15-30 วัน เช่น รับวัตถุดิบมาก่อน แต่จ่ายเงินให้ทีหลัง ร้านอาหารก็จะมีเงินไว้บริหารจัดการด้านอื่นๆ มีเงินทุนหมุนเวียนทางธุรกิจ และกระแสเงินสดที่ดี ไม่ฝืด เมื่อขายอาหารได้ค่อยนำเงินไปจ่ายค่าวัตถุดิบ เป็นต้น แต่ถ้าเรามี Credit Score ที่ไม่ดี ก็คงไม่มีใครกล้าให้เราจ่ายเงินทีหลังหรอก จริงไหม ที่โหดร้ายไปกว่านั้นคือ เราอาจถูกเก็บเงินมากกว่าคู่ค้ารายอื่น หรือถูกปฏิเสธที่จะทำการค้า-ธุรกิจด้วย ทั้งหมดนี้ล้วนสร้างผลเสียให้กับธุรกิจอย่างต่อเนื่องเป็นลูกโซ่
3. ไม่สามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายนัก
ในท้ายที่สุดแล้ว การขาดเงินทุนหรือต้องกู้ยืมเงินด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่ากำหนด ก็แสดงให้เห็นได้แล้วว่าเรามีความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการมากน้อยเพียงใด ซึ่งธุรกิจที่เพิ่งเริ่มกางปีกต้องมีเงินทุนมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้น ค่าสถานที่ ค่าแรง ค่าวัสดุอุปกรณ์ ค่าจดทะเบียนต่างๆ ค่าการตลาดและการประชาสัมพันธ์ เงินทุนหมุนเวียนธุรกิจ และอื่นๆ อีกมากมาย
หากมีเงินทุนไม่เพียงพอ การจะทำธุรกิจให้ราบรื่นก็จะกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาทันที ไหนจะต้องมาคอยกังวลเรื่องดอกเบี้ยที่มากเกินปกติอีก ดังนั้น วิธีที่คนส่วนใหญ่นิยมทำกันก็คือ พยายามหยิบยืมเงินจากคนที่รู้จัก เช่น คนในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือถ้ามีไอเดียทางธุรกิจดีๆ อาจลองไปเสนอไอเดียกับเว็บไซต์ระดมทุนอย่าง Kickstarter หรือ Indiegogo ก็ได้เช่นกัน
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี