Digital Marketing

Autodigi เครื่องมือเปลี่ยนการตลาดออนไลน์ที่ว่ายากให้เป็นเรื่องง่าย

Text : Kritsana S. Photo : ประสิทธิ์ เอนกอนันตพันธุ์
 



Main Idea
  • Automation Marketing เป็นการทำการตลาดออนไลน์ผ่านระบบอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยวิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำการตลาดออนไลน์ และประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำการตลาด
 
  • โดย Automation Marketing เป็นเทรนด์โลกที่น่าจับตามอง ซึ่งผู้ประกอบการเอสเอ็มอีควรจะได้รู้จักเอาไว้ก่อน
 
 


     นับจากนี้ไป การทำการตลาดออนไลน์จะกลายเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการทุกคนสามารถทำได้ เพราะตอนนี้มีแพลตฟอร์มที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำการตลาดออนไลน์ให้ได้ผลตามคาดหวัง จึงไม่ต้องนั่งลุ้นให้เหนื่อยใจอีกต่อไปว่า เงินที่ทุ่มไปจะสูญเปล่าหรือไม่


     แพลตฟอร์มที่กล่าวไปข้างต้น เรียกว่า Automation Marketing ซึ่งเป็นการทำการตลาดออนไลน์ผ่านระบบอัตโนมัติ โดยตอนนี้มีผู้ผลิตออกมาเยอะมาก เพื่อรับกับความต้องการของผู้ประกอบการยุคใหม่ที่กำลังมองหาเครื่องมือช่วยทำการตลาดออนไลน์ให้ได้ผลดีเยี่ยม และประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำการตลาด ตลอดทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างเอเยนซีหรือนักการตลาด


     แพลตฟอร์ม Automation Marketing ที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ เช่น Cobiro ช่วยให้การสร้างโฆษณาบน Google เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย Opteo ช่วยวิเคราะห์ว่าแคมเปญการตลาดออนไลน์มีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน และ Adference ช่วยคิดแคมเปญการตลาดออนไลน์ที่เหมาะสมกับสินค้า แต่ด้วยแพลตฟอร์มเหล่านี้ไม่ตอบโจทย์การทำธุรกิจของผู้ประกอบการไทยเท่าที่ควร กัมพล ธนาปัญญาวรคุณ CEO แห่ง ITOPPLUS ผู้ให้บริการด้านตลาดออนไลน์ระดับต้นๆ ของประเทศ จึงสร้างแพลตฟอร์ม Automation Marketing เพื่อผู้ประกอบการไทยในชื่อ Autodigi ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถโฆษณาบน Google ได้เห็นผลสูงสุด


     “เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม Autodigi ให้สมบูรณ์ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา จึงเปิดตัวโครงการ Mission to Google Automation Project รับสมัครผู้ประกอบการไทย 500 รายมานำร่องทดลองใช้ Autodigi เวอร์ชันแรกที่เน้นให้ผู้ประกอบการอ่านรีพอร์ตเป็นและเข้าใจข้อมูลในรีพอร์ต ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลแสดงจำนวน Conversion ในแต่ละวัน จำนวนเงินที่จ่ายไป และคีย์เวิร์ดที่ดึงให้คนเข้ามาหน้าเว็บไซต์ เป็นต้น ซึ่งข้อดีของการอ่านรีพอร์ตได้คือ ทำให้เข้าใจการทำการตลาดออนไลน์มากยิ่งขึ้น และทำการตลาดออนไลน์ได้อย่างถูกต้อง





     ในส่วนของ Autodigi เวอร์ชันสอง ซึ่งจะปล่อยหลังจากเวอร์ชันแรกสมบูรณ์นั้นทำงานแบบ Auto Recommended วิเคราะห์แคมเปญการตลาดออนไลน์ว่าเห็นผลหรือไม่ เพราะอะไร แคมเปญไหนเห็นผลมากที่สุด ถ้าแคมเปญมีปัญหาต้องแก้ไขอย่างไร จากนั้นจะปล่อยเวอร์ชันสามที่ทำงานแบบ Autoptimize แก้ไขข้อผิดพลาดของแคมเปญการตลาดออนไลน์ให้อัตโนมัติ และเวอร์ชันสี่ เน้นการเก็บข้อมูลลูกค้า เช่น ลูกค้าที่มาจากโฆษณามีกี่ราย ชื่ออะไรบ้าง ลูกค้าที่ซื้อสินค้ามีกี่ราย ใครบ้าง โดย Autodigi ที่สมบูรณ์จะเปิดให้ใช้งานในอีก 2 ปีข้างหน้า”


     ทั้งนี้ กัมพลได้วิเคราะห์ว่า แพลตฟอร์มการตลาดออนไลน์อัตโนมัติจะกลายเป็นเทรนด์โลก ซึ่งในอีก 5 ปีข้างหน้าเทรนด์นี้จะบูมแน่นอนในประเทศไทย โดยกลุ่มคนที่จะใช้แพลตฟอร์มนี้เป็นกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง
 
     อย่างไรก็ตาม แม้ตอนนี้ Autodigi จะยังไม่มีตัวสมบูรณ์ออกมาให้ใช้งาน แต่ระหว่างนี้ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโฆษณาบน Google ผ่านเทคนิคที่กัมพลแชร์ต่อไปนี้


     1. ใช้คีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจง

         การใช้คีย์เวิร์ดที่เจาะจงช่วยให้ลูกค้าค้นเจอสินค้าง่ายขึ้น และคีย์เวิร์ดยิ่งยาวยิ่งดี ซึ่งวิธีตั้งคีย์เวิร์ดคือ หยิบความโดดเด่นของสินค้ามาตั้ง ตลอดทั้งระบุที่ตั้งของร้านลงไปในคีย์เวิร์ดด้วย เพื่อให้โฆษณาเข้าถึงลูกค้าในพื้นที่นั้น เช่น ถ้าขายเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน ให้ใช้คีย์เวิร์ด เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน เฟอร์นิเจอร์สำนักงานเท่ๆ เฟอร์นิเจอร์สำนักงานแฮนด์คราฟต์ และเฟอร์นิเจอร์สำนักงานย่านลาดพร้าว เป็นต้น ส่วนการใช้คีย์เวิร์ดทั่วไป เช่น เฟอร์นิเจอร์ ทำให้ลูกค้าค้นเจอสินค้ายากขึ้น เพราะร้านไหนๆ ก็ใช้คีย์เวิร์ดนี้


     2. ตั้งกลุ่มเป้าหมายที่จะเห็นโฆษณาให้แคบที่สุด

         เพื่อให้โฆษณาบน Google มีประสิทธิภาพต้องตั้งกลุ่มเป้าหมายให้เจาะจงที่สุดและเป็นกลุ่มเป้าหมายจริงของแบรนด์ อย่าตั้งกลุ่มเป้าหมายแบบหว่านเพื่อหวังให้โฆษณาถูกเห็นเยอะ เพราะนอกจากจะเสียเงินค่าโฆษณามากโดยใช่เหตุแล้ว โฆษณายังไปไม่ถึงกลุ่มเป้าหมายด้วย


     3. มีความสม่ำเสมอในการซื้อโฆษณา

         จากการทำโครงการ Mission to Google Automation Project ทำให้ CEO ของ ITOPPLUS พบว่า ผู้ประกอบการไทยซื้อโฆษณาบน Google เพียงไม่กี่ครั้ง จึงทำให้โฆษณาไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องปรับแก้โดยด่วนคือ ความถี่ในการซื้อโฆษณา โดยต้องซื้อทุกวัน ไม่เช่นนั้นโฆษณาจะหายไปจากสายตาของลูกค้า และผลที่จะเกิดตามมาคือ ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าจากเจ้าอื่น เพราะทุกวันนี้ลูกค้าค้นหาสินค้าที่ต้องการวันละหลายๆ ครั้ง จะคลิกดูเว็บไซต์ที่แสดงขึ้นมาอันดับต้นๆ ก่อนเสมอ ซึ่งถ้าราคาโดนใจอาจตัดสินใจซื้อทันที การไม่ซื้อโฆษณาทุกวัน ทำให้เว็บไซต์หล่นจากอันดับต้น โอกาสที่ลูกค้าจะเลื่อนไปดูก็มีน้อย


     นอกจากนี้ ผู้ประกอบการต้องซื้อโฆษณาไม่ต่ำกว่า 500 บาทต่อวัน โฆษณาจึงจะถูกมองเห็นเยอะ และต้องซื้อโฆษณาต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน จึงจะวัดผลความสำเร็จของโฆษณาได้

    
     Bonus Tip : ข้อมูลติดต่อที่แสดงในโฆษณาต้องเป็นข้อมูลที่สามารถติดต่อได้ด้วย เพราะหากเป็นข้อมูลที่ติดต่อไม่ได้ ลูกค้าจะเมินแบรนด์ทันที
 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup