Digital Marketing

ณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง แนะวิธีหนีตาย ขายออนไลน์อย่างไรให้รอด

Text : กองบรรรณิการ
 
 

Main Idea
 
  • การทำธุรกิจอะไรก็ตามต้องเจอภาวะความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังนั้น การทำธุรกิจจึงต้องปรับตัวให้ทัน วิเคราะห์สถานการณ์ให้ดี
 
  • และนี่คือคำแนะนำจาก ณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง ขายของออนไลน์อย่างไรให้รอดในยุคนี้
 



     “ต้องบอกก่อนว่า การที่มียอดขายลดลง หรือรู้สึกว่าขายได้ยากขึ้น มีทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในต่างๆ จะเหมารวมว่าเป็นเพราะเศรษฐกิจไม่ดีก็คงไม่ถูกทีเดียว”

     “ซึ่งการที่เราจะมาแก้ปัญหาเพื่อให้ขายได้มากขึ้น ก็ต้องวิเคราะห์ธุรกิจ ต้องเ ข้าใจปัญหาก่อนว่า การขายได้ยากขึ้น ขายไม่ดีคือ สถานการณ์ แล้วมาจากสาเหตุอะไร ซึ่งแต่ละธุรกิจจะมีคำตอบไม่เหมือนกัน ดังนั้น สิ่งที่ต้องระวังคือ ทุกคนมักจะอนุมานว่ามันเป็นคำตอบเดียวกัน แล้วก็เอาไปใช้แก้ปัญหาแบบผิดๆ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถแก้ปัญหาให้ธุรกิจได้”

     ณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง กล่าวกับเรา เมื่อถูกถามถึงปัญหาที่พ่อค้าแม่ค้ากำลังโอดครวญถึงยอดขายที่หายไป

     ในความเห็นของณัฐพัชญ์นั้น เขามองว่า การทำธุรกิจอะไรก็ตามต้องเจอภาวะความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่ขายดีมาก่อน แต่เมื่อมาเจอคู่แข่งหน้าใหม่ ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกอื่นมากขึ้น สินค้าที่เคยขายได้ก็ต้องถูกลดความสำคัญลง ดังนั้น ธุรกิจที่เคยดีๆ จึงเริ่มอยู่ยากขึ้น ซึ่งถ้าปรับตัวไม่ทัน วิเคราะห์สถานการณ์ไม่ขาดก็จะพลาดพลั้งถึงปิดธุรกิจเลยก็ได้  





     “ถ้าเคยขายได้แล้วอยู่ดีๆ เจอคู่แข่งซึ่งสินค้าอาจจะดีกว่า ราคาถูกกว่า พอแบบนั้นก็สู้เขาไม่ได้ วิธีการคือต้องเปลี่ยนตลาด หรือเปิดสินค้าใหม่ เพื่อจะจับตลาดกลุ่มอื่น หรือบางทีสินค้าที่ขายอยู่เป็นสินค้าที่อิงกับเทรนด์มาประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็ไป อย่างตอนที่เมืองไทยมีปัญหาเรื่องฝุ่น PM2.5 เครื่องฟอกอากาศขายดีมากจนขาดตลาด แต่ตอนนี้พอเข้าสู่ภาวะปกติเครื่องฟอกอากาศเริ่มเหลือมากขึ้น มีการปรับลดราคาลงมา หรือหลายธุรกิจเป็นธุรกิจซื้อซ้ำได้ ถ้าเป็นธุรกิจซื้อซ้ำได้ก็ขายกับคนกลุ่มเดิมได้อีก แต่บางธุรกิจไม่ใช่กก็หมายความว่าต้องขายลูกค้าใหม่ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นธุรกิจต้องพลิกแพลงตลอดเวลา”

     ขณะเดียวกัน จากเดิมเมื่อลงโฆษณาบนเฟซบุ๊กมีคนลงแข่งไม่มาก ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ในราคาที่ถูก แต่ในวันนี้มีคนลงโฆษณาเพิ่มมากขึ้น ทำให้ราคาโฆษณาแพงขึ้น ต้นทุนสูงขึ้น เพราะฉะนั้นก็ต้องกลับมาหาวิธีใหม่

     “เช่น การลงโฆษณาบนเฟซบุ๊กสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ สมัยก่อนเราอาจจะเลือกหว่านๆ สมมติลงไป 100 คน อาจจะซื้อของเรา 10 คน แต่วันนี้เราไม่ได้มีเงินมากพอที่จะเข้าถึงคน 100 คน แต่เราต้องการคนซื้อ 10 คนเท่าเดิม แต่ต้องการคนเห็นแค่ 30 คนก็พอ จากสมัยก่อนมีคนซื้อ 10 เปอร์เซ็นต์จากคนที่เห็นโฆษณาเรา แต่ตอนนี้เราต้องการเพิ่มเป็น 30 เปอร์เซ็นต์จากคนที่เห็นโฆษณา นั่นคือเราต้องเลือกคนที่ใช่มากขึ้น ก็จะทำให้เราสามารถประหยัดค่าโฆษณาแต่ได้อิมแพ็กต์เท่าเดิม”

     อย่างไรก็ตาม ณัฐพัชญ์บอกว่า สิ่งที่กลัวมากๆ คือผู้ประกอบการส่วนใหญ่คิดว่าการทำธุรกิจคือการโฆษณา ทำให้มักแก้ปัญหาด้วยการลงโฆษณา ถ้าปัญหาของการทำธุรกิจคือ การที่คนไม่รู้จักสินค้า การลงโฆษณาก็ตอบโจทย์ แต่ถ้าปัญหาไม่ใช่เพราะไม่รู้จักสินค้าแต่ไม่ต้องการสินค้าเลยต่างหาก นั่นแปลว่าไม่สามารถขายสินค้านั้นได้แล้ว ต้องเปลี่ยนตลาดไปขายในตลาดอื่น  

     “เวลาวางกลยุทธ์การตลาด อย่าฝากความหวังไว้กับสิ่งที่เรียกว่าโฆษณา ปัญหาของการทำธุรกิจในวันนี้คือผู้ประกอบการรู้จักแต่โฆษณา แต่ไม่เข้าใจกลไกการทำธุรกิจ หมายความว่า คำนวณต้นทุนไม่เป็น มองไม่เห็นว่าต้นทุนที่มองไม่เห็นคืออะไร รายรับ-รายจ่าย ไม่เข้าใจกลไกตลาด แล้วฝากความหวังของธุรกิจไว้กับโฆษณา โดยลืมคำนวณต้นทุน แล้วพอวันนี้ต้นทุนการทำธุรกิจสูงขึ้น กำไรน้อยลง ธุรกิจก็อยู่ไม่ได้ พยายามบอกทุกคนเสมอว่า การทำธุรกิจเป็นมากกว่าการโฆษณา เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าจะบริหารธุรกิจอย่างไรเพื่อให้อยู่รอด ซึ่งถ้าไปถามธุรกิจใดๆ ในโลกก็มีความคล้ายๆ กันคือผลิตอะไร ไปขายใคร ด้วยวิธีการอะไร ต้องหาคำตอบให้เจอว่าลูกค้าของคุณคือใคร ลูกค้าซื้อเพราะอะไร”

     ทั้งหลายทั้งปวง ผู้ประกอบการต้องคิดวิเคราะห์ปัญหาของตนเองให้ได้ ซึ่งเมื่อได้คำตอบแล้ว ก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ถูกจุด ฉะนั้นจะเห็นว่ามีวิธีการคิดอยู่หลากหลายวิธีมากๆ จากการเอาตัวรอดในสถานการณ์ของธุรกิจย่ำแย่  
 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup