หลักทรัพย์บัวหลวง เปิดกลยุทธ์การลงทุน พิชิตตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน

บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในภาวะผันผวนต่อเนื่องมาจากปี 62 จากภาวะความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน และปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน แม้ว่าสถานการณ์จะคลี่คลายแล้วระดับหนึ่ง แต่ยังคงต้องจับตาดู 2 ประเด็นอย่..


 
     
     ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ
รองกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในภาวะผันผวนต่อเนื่องมาจากปี 62 จากภาวะความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน และปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน แม้ว่าสถานการณ์จะคลี่คลายแล้วระดับหนึ่ง หลังสหรัฐฯ ได้ลงนามข้อตกลงทางการค้าเฟสแรกกับจีนอย่างเป็นทางการไปแล้ว แต่ยังคงต้องจับตาดู 2 ประเด็นอย่างใกล้ชิด คือ 1.สหรัฐฯ และจีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงเฟส 2 เรื่องที่จะให้จีนเปิดตลาดการเงินและสิทธิทางปัญญาได้ภายในปีนี้หรือไม่ และ 2.สงครามตะวันออกกลาง ซึ่งเรื่องนี้ยากต่อการคาดเดา
 

     ท่ามกลางปัจจัยลบของต่างประเทศ ผู้ลงทุนต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการลงทุน แนะนำให้ใช้หลักการ “จัดสรรพอร์ตการลงทุน” หรือ Asset Allocation เพื่อรักษาระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ  เห็นได้จากพอร์ตลงทุนปี 62 ของหลักทรัพย์บัวหลวงที่สามารถทำผลตอบแทนได้ดีอีกครั้ง โดยพอร์ตลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม (Conservative) ,แบบความเสี่ยงปานกลาง (Moderate) และแบบเชิงรุก (Aggressive) มีผลตอบแทนนับจากต้นปีที่ระดับ 7.1 เปอร์เซ็นต์ ,10.4 เปอร์เซ็นต์ และ 14.0 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 62 ที่ระดับ 3.2 เปอร์เซ็นต์, 5.1 เปอร์เซ็นต์ และ 7.2 เปอร์เซ็นต์
 

     ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในช่วงนี้ควรเน้นกระจายความเสี่ยงออกไปใน 5  สินทรัพย์หลัก คือ 1. ตลาดหุ้น สัดส่วนลงทุนประมาณ 23 เปอร์เซ็นต์ แบ่งเป็นหุ้นไทยประมาณ 9 เปอร์เซ็นต์ หุ้นเวียดนามประมาณ 9 เปอร์เซ็นต์ และหุ้นสหรัฐฯ ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมีอัพไซด์ค่อนข้างจำกัด เพราะกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 63 อาจขยายตัวได้ไม่มากนัก ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนาม และตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีโมเมนตัมที่ดี โดยเฉพาะตลาดหุ้นเวียดนาม โดยคาดว่าในปี 63 อาจมีกระแสเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ไหลเข้ามาต่อเนื่อง เพราะเวียดนามเป็นประเทศปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการลงทุนจากต่างชาติในเอเชีย หลังกระทรวงวางแผนและการลงทุนของเวียดนามได้สนับสนุนให้มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยีขั้นสูง, พลังงาน และการส่งออก เป็นต้น
 

     2. กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ประเภทอาคารสำนักงานให้เช่าและค้าปลีก สัดส่วนลงทุนเฉลี่ย 13เปอร์เซ็นต์ หลังส่วนต่างอัตราผลตอบแทนระหว่างดัชนีกองทุนรวมอสังหาฯและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย 10 ปี อยู่ระดับ 3.28 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าค่าเฉลี่ย 4 ปี 1.6 เท่า 3.ทองคำ สัดส่วนลงทุนเฉลี่ย 16 เปอร์เซ็นต์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเติบโตเศรษฐกิจขยายตัวน้อยกว่าคาดการณ์ และเหตุการณ์สงคราม จากการวิเคราะห์เชิงปริมาณคาดว่าในเดือนม.ค.นี้ ราคาทองคำจะแกว่งในกรอบ 1,491 - 1,620 เหรียญต่อออนซ์  4. ตลาดเงิน สัดส่วนลงทุนเฉลี่ย 6 เปอร์เซ็นต์ และ 5.หุ้นกู้ภาคเอกชนระดับ BBB+ขึ้นไป สัดส่วนลงทุนเฉลี่ย 42 เปอร์เซ็นต์ 
 

     กูรูด้านการลงทุนกล่าวถึงมุมมองตลาดหุ้นไทยปี 63 ว่า ดัชนีอาจแกว่งตัวเหมือนปีก่อน โดยให้กรอบบนที่ระดับ 1,680-1,695 จุด บนค่า P/E 16.5 เท่า และกรอบล่างระดับ 1,480-1,500 จุด บนค่า P/E 14.5 เท่า ส่วนกำไรต่อหุ้น (ESP) ของบริษัทจดทะเบียนอาจอยู่ระดับ 102 บาทต่อหุ้น เติบโตประมาณ 22เปอร์เซ็นต์ จากปี 62 ที่อยู่ระดับ 83 บาทต่อหุ้น
สำหรับธีมการลงทุน เน้นลงทุนในหุ้น 3 กลุ่ม คือ 1.หุ้นที่มีความปลอดภัย (Defensive Stock) เช่น กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ (หุ้นรถไฟฟ้า) ,กลุ่มโรงไฟฟ้า ,กลุ่มหุ้นค้าปลีก และกลุ่มไฟแนนซ์  2.กลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มน้ำมันที่จะได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของภาคการผลิตของโลก 3.กลุ่มรับซื้อและปรับโครงสร้างหนี้  เช่น หุ้น BAM ,หุ้น JMT และหุ้น CHAYO ส่วนกลุ่มที่ต้องใช้ความระมัดระวัง คือ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเรื่องความต้องการซื้อชะลอตัว และกลุ่มธนาคารที่ต้องระวังเรื่องการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น
 
 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเพื่อเอสเอ็มอี

NEWS & TRENDS