ซี-วิท ฉลอง 10 ปี มอบ 1,000,000 กล่องให้เด็กไทย แข็งแรง สดใสไปด้วยกัน

 

     บริษัท เฮ้าส์ โอสถสภา ฟู้ดส์ จำกัด จับมือบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) เดินหน้าลดปัญหาภาวะทุพโภชนาการเยาวชนไทย เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปี ผลิตภัณฑ์ ซี-วิท (C-vitt) จับมือ 2 มูลนิธิ   จัดกิจกรรมใหญ่ “10 ปี C-vitt เพื่ออนาคตเด็กไทย แข็งแรง สดใสไปด้วยกัน” มอบซี-วิท มินิ ผลิตภัณฑ์  วิตามินซี 200% จำนวน 1,000,000 กล่อง พร้อมอุปกรณ์การเรียนการสอนและอุปกรณ์กีฬา มูลค่ารวมกว่า 14  ล้านบาท ให้เยาวชนไทยกว่า 43,700 คนทั่วประเทศ ผ่านมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทยและมูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนมีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ (Healthy Body & Mind)

     มร. โอซามุ โซมะ ประธานบริหาร บริษัท เฮ้าส์ โอสถสภา ฟู้ดส์ จำกัด กล่าวว่า “ปัญหาภาวะทุพโภชนการที่เยาวชนชายขอบของประเทศไทยประสบอยู่ในปัจจุบัน จัดเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมายาวนาน ประกอบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2 ปี ที่ผ่าน ทำให้หลายครอบครัวขาดรายได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำรงชีวิต อีกทั้งข้อมูลล่าสุดจากมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ทำให้ทราบว่ากลุ่มเยาวชนชายขอบของประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับปัญหาภาวะทุพโภชนาการที่รุนแรง ทั้งการไม่ได้รับประทานมื้อสำคัญอย่างอาหารเช้า รวมถึงในอาหารแต่ละมื้อยังขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของร่างกายและสมอง

     ซี-วิท (C-vitt) ได้เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าวที่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไข ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดด้านสังคมของบริษัทฯ ที่ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้มีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ (Healthy Body & Mind) อีกทั้งเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 10 ปี ผลิตภัณฑ์ ซี-วิท จึงได้ผนึกกำลังกับมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย และมูลนิธิเด็ก  โสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จัดกิจกรรม “10 ปี C-vitt เพื่ออนาคตเด็กไทย แข็งแรง สดใสไปด้วยกัน” 

     ด้วยการมอบผลิตภัณฑ์ซี-วิท มินิ เครื่องดื่มวิตามินซี 200% ขนาด 125 มิลลิลิตร จำนวน 1,000,000 กล่อง พร้อมอุปกรณ์การเรียนการสอนและอุปกรณ์กีฬา มูลค่ารวมกว่า 14 ล้านบาท เพื่อเดินหน้าแก้ไขปัญหาด้านโภชนาการและสุขภาพของเยาวชนทั่วประเทศ อีกทั้งเพื่อให้เด็กไทยทุกวัยได้รับปริมาณวิตามินซีอย่างเพียงพอตามที่ร่างกายต้องการตามคำแนะนำของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ค่าเฉลี่ยปริมาณวิตามินซีที่เด็กควรได้รับในแต่ละวันคือ 60 มิลลิกรัมต่อวันซึ่งเป็นปริมาณที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างพัฒนาการ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง พร้อมรับกับสถานการณ์ทางสุขภาพในยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ยังได้จัดทีมพนักงานลงพื้นที่ทำกิจกรรมกับเยาวชน ทั้งการให้ความรู้เรื่องสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมถึงการเล่นเกมส์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านสุขภาพ”

     ทางด้าน ดร.สราวุธ ราชศรีเมือง ผู้อำนวยการมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย  กล่าวว่า “มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรพัฒนาเอกชน สาธารณประโยชน์ ดำเนินการให้ความช่วยเหลือแก่เด็ก ครอบครัว และ ชุมชนยากไร้ ให้มีความเป็นอยู่ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ปัจจุบันมีพื้นที่ดำเนินงานใน 41 จังหวัดทั่วทุกภาคของประเทศไทย  มีเด็กในโครงการอุปการะกว่า 43,000 คน โดยดูแลช่วยเหลือเด็กตามความจำเป็น ทั้งในด้านสุขภาพ อนามัย การศึกษา ทักษะชีวิต รวมถึงการปกป้องคุ้มครองเด็ก ส่งเสริมโอกาสในการเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของตัวเอง

     โดยในปัจจุบัน สถานการณ์ของเด็กยากไร้ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กปฐมวัยในพื้นที่ห่างไกล มีเด็กปฐมวัยกว่า 25% ที่มีพัฒนาการล่าช้า ปัจจัยสำคัญอันเนื่องมาจากการมีสารอาหารที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการนำไปสู่การมีพัฒนาการที่ล่าช้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ปัญหาดังกล่าวมีมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องระดมความร่วมมือกันหลายภาคส่วนในการช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งการร่วมมือกับทาง ซี-วิท ในครั้งนี้จะสามารถช่วยให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ดียิ่งขึ้น

     จันทิรา สมบุญเกิด ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาทุนและการสื่อสาร มูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ กล่าวว่า “ปัญหาด้านสุขอนามัย รวมถึงภาวะทุพโภชนาการที่เกิดขึ้นกับเด็กกลุ่มเปราะบางของประเทศไทยในปัจจุบัน จัดเป็นปัญหาสำคัญต่อการพัฒนาประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ทุกหน่วยงานจำเป็นต้องร่วมมือกันแก้ไข เพื่อส่งเสริมให้เด็กเหล่านี้สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีประสิทธิภาพได้ พร้อมเป็นกองกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป

     การร่วมมือกันครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญในการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเยาวชนไทยได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นมาตรการที่สอดคล้องกับ มูลนิธิฯ ที่ดำเนินการช่วยเหลือเด็กที่สูญเสียบิดามารดา ขาดญาติมิตร ในรูปแบบของครอบครัวทดแทนถาวรระยะยาว เพื่อให้เด็กเติบโตในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ได้รับการศึกษาสูงสุดตามความสามารถ จนออกไปประกอบอาชีพและเลี้ยงดูตัวเองได้ ซึ่งปัจจุบันมูลนิธิฯ มีเด็กในการดูแลกว่า 700 คน ในหมู่บ้านเด็กโสสะทั้งห้าแห่งทั่วประเทศไทย”

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

NEWS & TRENDS