หากพูดถึงแบรนด์เดนทิสเต้ (DENTISTE’) นับว่าเป็นที่รู้จักกันดีในตลาดคอนซูเมอร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในปีที่ผ่านมาได้ ลิซ่า BLACKPINK มาเป็น Brand Ambassador ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์เป็นอย่างมาก ทำให้ยอดขายเติบโตราว 15% แม้อยู่ในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19
เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล กรรมการผู้จัดการ ผู้นำเข้าและผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากระดับพรีเมี่ยมเดนทิสเต้ (DENTISTE’) พร้อมด้วย ศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด และ ศิวกร พิทยานุกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ เปิดเผยว่า ปีหน้าเป็นอีกก้าวสำคัญของเดนทิสเต้
กับการต่อสัญญากับศิลปินตัวท็อประดับโลกอย่าง ลิซ่า - ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ในการเป็น Brand Ambassador ให้กับเดนทิสเต้อีกครั้ง พร้อมกับโปรเจกต์ใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกมากมาย
มากไปกว่าเรื่องยอดขายและความแข่งแกร่งของแบรนแล้วนั้น เดนทิสเต้ยังอยากสนับสนุนให้เด็กไทยประสบความสำเร็จในเวทีระดับโลก สวยมั่นใจแบบ Lisa อีกด้วย ซึ่งแคมเปญนี้จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนเป็นกิจกรรม การประกวด ร้อง เต้น เล่นดนตรี เพื่อให้กับเด็กไทย ที่มีความฝันเหมือนลิซ่าได้มาโชว์ความสามารถและกล้าที่จะออกตามหาความฝันของตัวเอง ผู้ชนะในแคมเปญนี้จะได้พบกับ ลิซ่า BLACKPINK ตัวจริงเสียงจริงในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า พร้อมรับเงินรางวัลอีกมากมาย โดยแคมเปญนี้ได้ล้อไปกับภาพยนตร์โฆษณาของเดนทิสเต้ที่เพิ่งเปิดตัวไป
นอกจากนี้จะได้พบกับลิซ่า ในฐานะ Brand Ambassador ยาสีฟันสูตรใหม่ที่ Hi-end และจะเปิดตัวในปีหน้า พร้อมกับกิจกรรม Meet & Greet Lisa x DENTISTE’ แฟน ๆ ที่ตั้งตารอเจอลิซ่ารับรองว่างานนี้ได้ใกล้ชิดแบบไม่มีที่ไหนมาก่อน เพราะจัดเป็น Exclusive Private Fan meet โดยงานนี้จะจัดขึ้นเพื่อแฟน ๆ ของ DENTISTE’ โดยเฉพาะ
สำหรับการต่อสัญญาในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมีหลายแบรนด์ที่ติดต่อลิซ่าให้เป็น Brand Ambassador แต่มีไม่ถึง 10 แบรนด์ ที่ลิซ่าเลือก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ เดนทิสเต้ อีกทั้งลิซ่าใช้ผลิตภัณฑ์ของเดนทิสเต้อยู่แล้ว และเคยร่วมงานกันในแคมเปญก่อนหน้า จึงทำให้ทุกอย่างออกมาลงตัว
การได้ลิซ่ามาร่วมงานอีกครั้ง เดนทิสเต้ตั้งเป้ายอดขายที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 10% จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้แบรนด์แข็งแกร่งของแบรนด์ขึ้น และเดนทิสเต้พร้อมขยายช่องทางการสั่งซื้อสินค้าในเว็บไซต์ Amazon ของอเมริกา ถือเป็นการเปิดตลาดใหม่ “No.1 Premium Niche in America” รวมถึงแพลนตั้งสำนักงานที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ในปีที่ผ่านมาเดนทิสเต้เป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผลิตภัณฑ์ทุกตัวของเดนทิสเต้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีไม่เฉพาะในประเทศไทยแต่อีกหลายหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงได้รับการยอมรับจากทันตแพทย์ในเรื่องของคุณภาพ
สำหรับกลยุทธ์การตลาดต่อจากนี้ เดนทิสเต้มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ โดยต้องยอมรับว่าเดนทิสเต้เป็นตลาดเฉพาะกลุ่มที่พรีเมี่ยม แม้ว่าตอนนี้จะเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มพรีเมี่ยม แต่ยังมีความสามารถขยายไปได้อีกเยอะ จึงมุ่งเน้นไปที่เด็กและคนรุ่นใหม่ รวมถึงทำงานร่วมกับทันตแพทย์ทั่วประเทศอย่างใกล้ชิดการได้ ลิซ่า มาเป็นผู้ส่งต่อ Message สำคัญ ๆ ช่วยสร้างความน่าสนใจและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
หากพูดถึงแบรนด์ เดนเทิสเต้ ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมสุขภาพช่องปากมาโดยตลอด ได้พัฒนา ผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมทั้งเรื่องฟันผุ กลิ่นปาก รวมถึงเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ในปีหน้าจะได้พบกับนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น ยาสีฟันเม็ด เมื่อซื้อแปรงสีฟันเดนทิสเต้ทุกชิ้นจะได้รับยาสีฟันเม็ดฟรีหนึ่งเม็ด ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ ที่สะดวกต่อการใช้งาน สามรถควบคุมปริมาณฟลูออไรด์ในการใช้แต่ละครั้งได้ตามที่ทันตแพทย์ยอมรับและแนะนำ, น้ำยาบ้วนปากที่สามารถแปรงฟันได้, เจลสำหรับเคลือบฟัน ลดการสึกของเคลือบฟันชั้นนอก พิเศษไปกว่านั้นคือการเปิดตัวยาสีฟันหลอดละ 1,000 เหรียญ หรือประมาณ 36,000 บาท และอื่น ๆ อีกมากมาย
นอกจากนี้ที่ผ่านมา เดนทิสเต้ทำการตลาดภายใต้แนวคิด People Marketing ที่ไม่ใช่ทำเพื่อเพิ่มยอดขาย แต่มีจุดประสงค์คืนกำไรและสิ่งดี ๆ สู่สังคม และยังคงดำเนินงานภายใต้แนวคิดนี้ต่อไป เช่น การทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยโรงพยาบาลของรัฐเพื่อที่จะช่วยลดอัตราการฟันผุ ที่ส่งผลทำให้มีกลิ่นปาก เนื่องจากปัจจุบันคนไทยฟันผุถึงมาก 98.5%, โครงการส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนไทยประสบความสำเร็จโดยมีลิซ่าเป็นต้นแบบ และยังมีโครงการแจกยาสีฟันชนิดเจลเคลือบฟันให้กับทันตกว่า 1 ล้านหลอดในปี 2021-2022 และในปี 2022 – 2023 จะแจกเพิ่มอีก 1-2 ล้านหลอด โดยสามารถไปรับ DENTISTE’ Anticavity Max Fluoride ได้ฟรีที่คลินิกทั่วประเทศ เพียงแจ้งว่ามารับยาสีฟันลิซ่า
ปัจจุบันเดนทิสเต้มีส่วนแบ่งการตลาด 7 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่ Hi-end ในขณะที่ส่วนแบ่งในตลาด Hi-end อยู่ที่ 85 เปอร์เซ็นต์
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี