สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เดินหน้าสานต่อโครงการ Space Economy: Lifting Off 2022 ปีที่ 2 เปิดเวทีให้สตาร์ทอัพสายอวกาศ (SpaceTech) พัฒนาโมเดลธุรกิจร่วมกับหน่วยงานชั้นนำในอุตสาหกรรมอวกาศระดับประเทศ พร้อมโอกาสรับการลงทุนเพื่อต่อยอดและขยายตลาด ซึ่งปีนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมพัฒนาโซลูชันด้านอวกาศกว่า 120 ราย แต่ผ่านการคัดเลือก 15 ราย เพื่อร่วมนำเสนอโมเดลธุรกิจกับนักลงทุน โดยครอบคลุมทั้งกลุ่มเทคโนโลยีระยะเริ่มต้น และระยะพัฒนาต้นแบบ
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIAกล่าวว่า “ในปีนี้การวิจัยและคิดค้นเทคโนโลยีด้านอวกาศกลายเป็นกระแสที่มาแรงและอยู่ในความสนใจของหลายประเทศทั่วโลก ไม่ต่างจากเทคโนโลยีโลกเสมือน หรือเมตาเวิร์ส ซึ่งประเทศไทยได้บรรจุให้กิจการอวกาศเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ต้องเร่งขับเคลื่อนและพัฒนา ด้วยการต่อยอดศักยภาพเดิมให้มุ่งหน้าไปสู่การพัฒนาดาวเทียมที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล การสื่อสาร ความมั่นคง และงานวิจัยชั้นสูง รวมทั้งมีนโยบายเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพด้านอวกาศได้เข้ามาร่วมพัฒนาโซลูชั่นเพื่อตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะส่งผลให้เกิดประโยชน์กับประเทศในวงกว้างทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม”
“การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและการผลักดันให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่ คือเส้นทางสำคัญของการก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลาง เนื่องจากการสร้างเศรษฐกิจอวกาศรูปแบบใหม่นั้นจะมีเอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อน ต่างจากเศรษฐกิจอวกาศเดิมที่มีรัฐบาลหรือองค์กรของรัฐเป็นผู้ดำเนินงานเท่านั้น นอกจากนี้การสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับอวกาศยังสามารถเพิ่มมูลค่าในภาคการผลิต และเป็นกลไกที่ช่วยยกระดับให้อุตสาหกรรมอื่นของประเทศเติบโตไปพร้อมกันได้ เช่น อุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ หุ่นยนต์ เกษตร และอาหาร ตลอดจนกระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง หรือ New S - Curve ซึ่งมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติกว่า 4 - 5 แสนล้านบาทต่อปี เช่น หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ และอุตสาหกรรมดิจิทัลได้อีกด้วย”
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอวกาศมากว่า 1,000 ราย อยู่ในธุรกิจทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ มีมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมมากกว่า 30,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ต่อปี โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ที่มีโรงงานผลิตชิ้นส่วนดาวเทียมหลายสิบโรงงาน รวมถึงมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์บางส่วนที่เริ่มสนใจปรับเปลี่ยนกระบวนการมาผลิตชิ้นส่วนดาวเทียมแล้ว ทั้งนี้ เพื่อให้นวัตกรรมดังกล่าวถูกพัฒนาได้อย่างรวดเร็วขึ้น NIA จึงร่วมกับภาคีความร่วมมืออวกาศไทย (Thai Space Consortium) ดำเนินการจัด “โครงการ Space Economy: Lifting Off 2022” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อพัฒนาสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกด้านดังกล่าวให้สามารถขยายผลด้านเทคโนโลยีร่วมกับหน่วยงานชั้นนำในอุตสาหกรรมอวกาศ เปิดโอกาสให้นำผลิตภัณฑ์และบริการที่กำลังพัฒนามาทดสอบแนวความคิดให้มีความพร้อมต่อการนำไปใช้และก้าวสู่การแข่งขันในเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ ยังมุ่งเป็นสะพานเชื่อมการระดมทุนจากกลุ่มนักลงทุนที่สนใจ ซึ่งปีที่ผ่านมานั้นเงินลงทุนในสตาร์ทอัพและธุรกิจด้านอวกาศเติบโตขึ้นกว่าร้อยละ 50 คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 3 ของเงินลงทุนทั้งหมดจาก VC ทั้งนี้ การได้รับการระดมทุนจะช่วยให้สตาร์ทอัพแต่ละรายสามารถขยายตลาดและพัฒนาสิ่งใหม่ได้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งเป็นตัวเร่งให้ผู้ที่สนใจเข้ามาสู่อุตสาหกรรมนี้เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
“โครงการ Space Economy: Lifting Off มีเป้าหมายในการสร้างผู้ประกอบการสตาร์ทอัพด้านเศรษฐกิจอวกาศเข้าสู่ภาคธุรกิจ ทำให้เกิดห่วงโซ่อุปทานของผู้พัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมอวกาศขึ้นในประเทศ และเมื่อประเทศไทยสามารถพัฒนาเทคโนโลยีได้ก็ไม่จำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ส่งผลให้ต้นทุนของเทคโนโลยีต่ำลง และภาคเศรษฐกิจของไทยโดยรวมก็จะสามารถพัฒนาได้รวดเร็ว ทั้งนี้ เป้าหมายการสร้างสตาร์ทอัพอวกาศของ NIA จะสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้ไทยเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่สามารถส่งดาวเทียมไปโคจรรอบดวงจันทร์ภายใน 7 ปี ซึ่งจะทำให้ไทยเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมอวกาศโลกที่มีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ และมีโอกาสสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอีกมหาศาล ทั้งนี้ ในปีแรก NIA ได้สร้างสตาร์ทอัพด้านเศรษฐกิจอวกาศรายใหม่จำนวน 10 ราย จากผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการมากกว่า 100 ราย”
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับกิจกรรมในปีที่ 2 นี้ ได้รับความสนใจจากสตาร์ทอัพในหลากสาขามากขึ้น และมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการกว่า 120 ราย ครอบคลุมทั้งกลุ่มเทคโนโลยีระยะเริ่มต้น และระยะพัฒนาต้นแบบ และมีองค์กรภาคเอกชนทั้งในอุตสาหกรรมอวกาศและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพสตาร์ทอัพเหล่านี้มากกว่า 20 องค์กร โดยมีผลงานที่ผ่านเข้ารอบคัดเลือกเพื่อรับโอกาสการระดมทุนจำนวน 15 ราย ได้แก่ Centro Vision ดาวเทียมขนาดเล็ก วงจรถี่ สามารถถ่ายภาพได้ทุกวัน Farm Dee Mee Suk Plus แพลตฟอร์มครบวงจรเพื่อเกษตรกร คาดการณ์ผลผลิตและสถานะพืชด้วยภาพถ่ายดาวเทียม Gaorai ระบบปฏิบัติการเทคโนโลยีการเกษตรที่เชื่อมต่อเกษตรกรกับนักขับโดรนรับจ้างเพื่อการเกษตร Intech แอพพลิเคชั่นครบวงจรเพื่อการเกษตร โดยใช้ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม Maneelab ชุดซอฟต์แวร์ระบบย่อยสำหรับสร้างอุปกรณ์ที่ใช้บนยานอวกาศ
Mush Composite วัสดุแห่งโลกอนาคตจากเส้นใยเห็ด Spacedox ระบบการจัดการจราจรอวกาศ (space traffic management) ตรวจสอบและติดตามดาวเทียม TemSys ชุดฝึกการเรียนรู้ระบบรับส่งสัญญาณจากดาวเทียม Tevada Corp ระบบตรวจวัดปริมาณก๊าซคาร์บอน ด้วยภาพถ่ายดาวเทียมและAI VAAM จานรับสัญญาณดาวเทียมระบบ 3 แกน ขนาด 6 เมตร Advance Space Composite สารเคลือบเพื่อป้องกัน tin whisker บน PCB board และ ขั้ว d-sub LINK Application แพลตฟอร์มวิเคราะห์ศักยภาพของพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อพิจารณาปล่อยสินเชื่อ Premium Robotics แขนหุ่นยนต์ที่มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะกับงานบนอวกาศ Semi-Latus Rectum บริการซ่อมแซม เปลี่ยนอะไหล่ เติมเชื้อเพลิงดาวเทียม เพื่อยืดอายุการใช้งาน และ Solutions Maker อุปกรณ์รับเวลาโดยตรงจากดาวเทียม แทนการที่ใช้งาน NTP/PTP
สำหรับกลุ่มเทคโนโลยีระยะเริ่มต้น รางวัลทีมชนะเลิศ ได้แก่ ทีม Solutions Maker รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้แก่ ทีม LINK Application รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้แก่ ทีม Advance Space Composite ส่วนเทคโนโลยีระยะพัฒนาต้นแบบ รางวัลทีมชนะเลิศ ได้แก่ ทีม Gaorai รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้แก่ ทีม Intech รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้แก่ ทีม VAAM และรางวัลป๊อปปูล่าโหวต ได้แก่ ทีม Spacedox ทั้งนี้ทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากทั้ง 2 สาขา และรางวัลป๊อปปูล่าโหวต จะได้มีโอกาสเข้าร่วมนำเสนอนวัตกรรมในงาน STARTUP x INNOVATION THAILAND EXPO 2023 หรือ SITE2023 เพื่อโอกาสในการงทุนและการเติบโตต่อไป
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup