ผลกระทบโควิดทำให้ธุรกิจและพนักงานต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของธุรกิจทั้งขนาดใหญ่และเล็กที่ต้องปรับทั้งวิธีการและนำดิจิทัลมาใช้ภายใต้สภาพแวดล้อมใหม่เพื่อสนับสนุนให้พนักงานสามารถทำงานเชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและยังคงความปลอดภัยสูงสุด
จากการสำรวจล่าสุดของการ์ทเนอร์พบว่าหลังวิกฤติการณ์การระบาด 41 % ของพนักงานมีแนวโน้มที่ต้องทำงานจากที่บ้านอย่างต่อเนื่องต่อไป และกว่า 75 % ที่เคยทำงาน Work From Home คาดหวังที่จะเห็นความยืดหยุ่นมากขึ้นหากยังต้องทำงานจากบ้านโดยมีเพียง 4 % เท่านั้นที่เลือกเข้าออฟฟิศ ทั้งนี้ การ์ทเนอร์ยังคาดการณ์ว่าในปี 2565 จะมีองค์กรจำนวนมากขึ้นที่ให้ความสำคัญกับการอัปเกรดอุปกรณ์หรือการลงทุนในอุปกรณ์ที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเชื่อมต่อที่หลากหลายเพื่อขยายการเติบโตและสามารถรองรับการทำงานแบบไฮบริด
สำหรับประเทศไทย พนักงานกว่า 80 % ต้องการให้องค์กรเพิ่มความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยข้อมูลของ PwC ประเทศไทยพบว่า องค์กรต่างๆ ของไทยจะมีการปรับการทำงานเป็นแบบไฮบริดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผลการสำรวจทั่วโลกพบว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของธุรกิจที่ได้ปรับมาใช้รูปแบบไฮบริด สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ดีกว่าที่ตั้งไว้ตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา การมีสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่น คล่องตัว ปลอดภัย จะเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งต่อธุรกิจไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ไปจนถึงเอสเอ็มอีทุกขนาด
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการต้องหาทางที่ดีที่สุด เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าไปและให้พนักงานสามารถทำงานจากอุปกรณ์พีซีได้ในทุกสถานที่ เอชพีได้พัฒนาเทคโนโลยีและโซลูชั่นที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น HP EliteBook, HP Elite Dragonfly และ HP ProBook แล็ปท็อปธุรกิจที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อมต่อง่าย ราบรื่น พร้อมระบบความปลอดภัยช่วยปกป้องข้อมูลสำคัญสำหรับธุรกิจ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังสามารถลดภาระการดูแลบริหารจัดการด้านไอที ด้วย HP Active Care โซลูชั่นบริการด้านไอที ที่จัดการกับปัญหาและซ่อมแซมอุปกรณ์ได้อย่างรวดเร็วด้วยระบบการสนับสนุนการทำงานระยะไกล ช่วยให้พนักงานกลับมาทำงานตามปกติได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี