TEXT : กองบรรณาธิการ
Main Idea
- Bain & Company รายงานว่าในอีก 7 ปีข้างหน้า หรือปี 2573 ตลาดสินค้าหรูทั่วโลกจะมีฐานลูกค้ามากกว่า 500 ล้านคน โดยกลุ่มลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดคิดเป็นสัดส่วนอย่างน้อย 80% ของการซื้อทั่วโลก ก็คือ Gen Y, Z และ Alpha
- ไม่เพียงแต่จะเติบโตกลายเป็นกลุ่มลูกค้ารายใหม่ แต่มูลค่าการจับจ่ายของผู้บริโภค 3 เจนเนอเรชั่นเหล่านั้น ยังอาจเพิ่มสูงขึ้นกว่าคนรุ่นอื่นที่ผ่านมาได้ถึง 3 เท่าตัวทีเดียว
- โดยพฤติกรรมการเลือกซื้อของพวกเขา ไม่ใช่แค่นิยมสินค้าแบรนด์เนมหรือไฮเอนด์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังให้ความสนใจกับสินค้าที่มีเรื่องราวน่าสนใจ คุณภาพดี แตกต่างไม่เหมือนใครอีกด้วย
จากที่ได้เห็นในหลายๆ เหตุการณ์ไม่ว่าเศรษฐกิจไม่ดี หรือต้องเจอกับภาวะโรคระบาด แต่มีสินค้าอยู่จำพวกหนึ่งที่ไม่ว่าจะต้องเจอกับสถานการณ์อะไรก็ยังคงขายได้ดี ราคาไม่ตก ใช่ เรากำลังพูดถึง “Luxury Goods” หรือสินค้าหรูหราของแบรนด์เนมชื่อดังต่างๆ อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายก็เช่นในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมาเรามักเห็นข่าวสินค้าแบรนด์เนมแห่กันขึ้นราคากันเต็มไปหมด แต่ก็ยังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
วันนี้เลยจะชวนมาดูกลุ่มผู้บริโภคที่ว่ากันว่าในอีก 7 ปีข้างหน้าจะกลายเป็นกลุ่มลูกค้าหลักสำคัญของสินค้าหรูหราที่พร้อมจ่ายให้กับสินค้าคุณภาพ มีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร แน่นอนว่าถึงจะไม่ได้ทำสินค้าแบรนด์เนมขาย แต่สามารถเรียนรู้กลยุทธ์ต่างๆ จากพฤติกรรมความชอบเพื่อมัดใจพวกเขากัน
Gen Y และ Z ครองแชมป์นักช้อปฯ สินค้าหรูปี 2565
Bain & Company รายงานว่าในปี 2565 ที่ผ่านมา ผู้บริโภคในกลุ่มเจนเนอเรชั่น Y และ Z คือ กลุ่มลูกค้าที่มีผลต่อการเติบโตของตลาดสินค้าหรูทั้งหมดมากที่สุด โดยเจน Y และ Z รวมถึง Alpha มักเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่กลัวการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟื่อยหากสินค้านั้นมีความคุ้มค่า ช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้กับพวกเขาได้ ความต้องการสินค้าหรูหรา หรือแบรนด์ดังต่างๆ ของพวกเขาจึงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดย Bain & Company ได้เผยแพร่ข้อมูลเมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา จากการศึกษาของ Bain อ้างอิงจากข้อมูลและข้อมูลที่จัดทำโดย Fondazione Altagamma องค์กรสินค้าหรูหราของอิตาลี ซึ่งมีบริษัทที่จำหน่ายสินค้าหรูหรากว่า 280 แห่งว่าในอีก 7 ปีข้างหน้า หรือปี 2573 ตลาดสินค้าหรูทั่วโลกจะมีฐานลูกค้ามากกว่า 500 ล้านคน โดยกลุ่มลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดคิดเป็นสัดส่วนอย่างน้อย 80% ของการซื้อทั่วโลก ก็คือ Gen Y, Z และ Alpha
โดยเหตุผลสำคัญอีกข้อที่จะส่งให้ตลาดสินค้าหรูเติบโตเพิ่มมากขึ้นก็คือ ประสบการณ์การช้อปปิ้งเสมือนจริง เช่น Web 3.0 และ Metaverse สิ่งนี้จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญทำให้เจนเนอเรชั่นคนรุ่นใหม่เหล่านี้เข้าถึงสินค้าต่างๆ เหล่านี้ได้มากขึ้นนั่นเอง
Gen Y คือ ผู้ที่เกิดตั้งแต่ปี 2523 – 2537 มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง มุ่งมั่นต่อความสำเร็จ ขณะเดียวกันก็ใช้ชีวิตอย่างยืดหยุ่น
Gen Z คือ ผู้ที่เกิดตั้งแต่ปี 2538 – 2552 กล้าแสดงออก มีความคิดเป็นของตัวเอง เริ่มใช้เวลากับเทคโนโลยีมากขึ้น
Gen Alpha คือ ผู้ที่เกิดตั้งแต่ปี 2553 – 2568 มีความเป็นตัวของตัวเองสูง เรียนรู้เทคโนโลยีได้ไว
ซื้อเพื่อเป็นการลงทุนในอนาคต ไม่ใช่แค่แฟชั่น
โดยจากรายงานกล่าวว่าทั้ง 3 เจนเนอเรชั่นนี้ ไม่เพียงเป็นกลุ่มลูกค้าในอนาคตที่มีการใช้จ่ายกับสินค้าหรูหรามากที่สุดเท่านั้น แต่การใช้จ่ายของพวกเขาอาจจะเติบโตพุ่งสูงขึ้นกว่าคนรุ่นอื่นๆ ถึง 3 เท่าตัวเลยทีเดียวในปี 2573 โดยเหตุผลแท้จริงที่ Gen Y, Z และ Alpha นิยมชื่นชอบสินค้าหรูนั้น ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเองเท่านั้น แต่เป็นเพราะพวกเขามองเห็นมูลค่าของสินค้าเหล่านี้ว่าเป็นการลงทุนที่ในอนาคตจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพวกเขาได้ในอนาคตด้วย เรียกง่ายๆ ว่าได้ใช้และยังทำกำไรให้ได้ในอนาคตด้วย
ยกตัวอย่างเช่นกระเป๋า Chanel Medium Classic Flap ขายในราคา 3,900 ดอลลาร์ในปี 2554 (ข้อมูลจาก Nasdaq) แต่สิบปีต่อมามูลค่าพุ่งสูงขึ้นถึง 7,800 ดอลลาร์ หรือประมาณ 200% เลยทีเดียว
จากตัวอย่างดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการซื้อสินค้าหรูหรา ไม่ใช่เพียงแค่การซื้อตามอารมณ์ความต้องการเท่านั้น แต่ยังมีศักยภาพในด้านการลงทุนที่ให้ผลกำไรตอบแทนได้สูงด้วย
แม้แต่รองเท้าแตะ ก็ต้องเลือกที่ดีที่สุด
โดยพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของ Gen Y, Z และ Alpha นั้น ไม่ได้มุ่งไปเพียงแค่สินค้าแบรนด์เนม ไฮเอนด์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แม้แต่สินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน หรือวันสบายๆ ธรรมดา พวกเขาก็ใส่ใจเลือกสรรให้ดูดีหรือแตกต่างจากแบรนด์ทั่วไปที่มีในท้องตลาดด้วย โดยไม่ได้อิงกับกระแส แต่ดูที่คุณภาพ วัสดุที่ผลิต ฟังก์ชั่นการใช้งานมากขึ้นด้วย
ยกตัวอย่างเช่นพวกเขาอาจไม่ได้สนใจรองเท้าผ้าใบ Nike Air Jordan 1 รองเท้าบาสเกตบอลขึ้นหิ้งที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี ก็ยังคงได้รับความนิยมติดอันดับท็อป แต่จะหันมาเลือกใส่ Birkenstock รองเท้าแตะที่เลือกใช้วัสดุเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยทำจากจุกไม้ก๊อกและยางพาราแทน ซึ่งใส่แล้วมีความยืดหยุ่นดีต่อสุขภาพ เป็นต้น
จากที่เล่ามาหากลองสังเกตให้ดีๆ จะเห็นได้ว่าการเลือกซื้อสินค้าของ Gen Y, Z และ Alpha นั้นมักมีกิมมิก มีรายละเอียด หรือเหตุผลเล็กๆ ซ่อนอยู่ แต่จะมีความพิเศษแตกต่างไม่ค่อยเหมือนใคร ดังนั้นหากอยากชนะใจพวกเขาเหล่านี้ได้ คงต้องทำการบ้านหนักสักหน่อย ตั้งแต่แรงบันดาลใจจุดเริ่มต้นในการทำสินค้า การออกแบบ การเลือกใช้วัสดุ วิธีการผลิต ฯลฯ ทำสินค้าของคุณให้เป็นสินค้าที่พิเศษและดีที่สุดในแบบฉบับของตัวเอง เท่านี้ก็สามารถมัดใจพวกเขาได้แล้ว
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี