TEXT : กองบรรณาธิการ
Main Idea
8 เทรนด์อีคอมเมิร์ซที่ยังแรงอย่างต่อเนื่อง
- ผู้บริโภค 4 ใน 5 คนที่มีแนวโน้มยินดีที่จะอุดหนุนสินค้าจากแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม
- ผู้บริโภค 35.1 % ในสหรัฐฯ นิยมสั่งการด้วยเสียงผ่านสมาร์ทโฟนทุกวัน ตั้งแต่การควบคุมส่วนต่างๆ ในบ้านอัจฉริยะ จนถึงการซื้อสินค้าออนไลน์
- Nike ยกเลิกการขายผ่าน Amazon หันมาขายโดยตรงให้กับลูกค้าตัวเอง เพิ่มยอดขายได้มากขึ้นกว่า 30 %
- ในปี 2564 Tik Tok เป็นแอปที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดในโลก โดยสูงกว่า 656 ล้านครั้ง
- ในปี 2564 ยอดขายสินค้าจากการไลฟ์สดสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศจีนกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์
- 40 % ของนักการตลาดต่างหันมาใช้วิดีโอโฆษณาที่ลูกค้าเลือกซื้อได้เลยกันเยอะขึ้น
- ชาวอเมริกัน 86 % ยังรู้สึกกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ในขณะที่ 68% รู้สึกวิตกกับข้อมูลที่ธุรกิจรวบรวมไว้
- นักการตลาดที่ใช้ช่องทางอย่างน้อย 3 อย่าง มีโอกาสทำยอดขายได้สูงกว่านักการตลาดที่ใช้ช่องทางเดียวถึง 287 %
เมื่อความคาดหวังของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป แถมมีวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจโดยเฉพาะในการค้าออนไลน์ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนตามให้ทัน วันนี้เลยจะชวนมาดูตัวเลขเทรนด์อีคอมเมิร์ซ ซึ่งบางอย่างถึงจะมีมาสักพักแล้ว แต่ก็ยังได้รับความนิยมและแรงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่บางเทรนด์ก็เป็นเทรนด์ใหม่น่าสนใจ จนน่าจะถูกนำมาใช้กันเยอะขึ้นในปี 2566 อย่างแน่นอน
ยิ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผู้บริโภคยิ่งรัก
จากรายงานของ IMB กล่าวว่าผู้บริโภค 4 ใน 5 คนในปี 2565 ที่ได้สอบถามความคิดเห็นมีแนวโน้มยินดีที่จะให้การสนับสนุนและอุดหนุนสินค้าและแบรนด์ที่หันมาให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Apple ที่ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ที่เรียกว่า “Carbon neutrality” คือ ปล่อยออกมาเท่าไหร่ ก็ต้องทำให้ดูดซึมกลับคืนสู่ป่าหรือวิธีอื่นเพื่อไม่ให้เป็นมลภาวะแก่โลกเท่านั้น โดยได้ตั้งปฏิธานไว้ว่าจะทำให้ได้ในปี 2573 ซึ่งปัจจุบันซัพพลายเออร์ที่ทำงานอยู่ด้วย ก็เริ่มหันมาใช้พลังงานสะอาดแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวแล้ว และยังหันมาใช้วัสดุรีไซเคิลกันมากขึ้นในผลิตภัณฑ์ โดยรวมแล้ว 5 ปีที่ผ่านมานี้ Apple สามารถลดการปล่อยคาร์บอนลงได้กว่า 40 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว
การช้อปปิ้งผ่านคำสั่งซื้อด้วยเสียงกำลังเป็นที่นิยม
ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ Google เริ่มเปิดฟีเจอร์ตัวการค้นหาด้วยเสียงขึ้นมา ก็ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้สมาร์ทโฟนในการค้นหาข้อมูลต่างๆ เพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงการค้นหาสินค้า โดยจากการสำรวจล่าสุดพบว่าผู้บริโภคกว่า 35.1 เปอร์เซ็นต์ในสหรัฐใช้ผู้ช่วยในสมาร์ทโฟนสั่งการผ่านเสียงทุกวัน ในการควบคุมส่วนต่างๆ ในบ้านแบบอัจฉริยะ ตั้งแต่ตรวจสอบสภาพอากาศ เล่นเพลง รวมถึงการซื้อของออนไลน์ ดังนั้นจึงเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่น่าจะได้รับความนิยมมากขึ้นในปีหน้านี้ เพื่อช่วยให้ความสะดวกสบายและเข้าถึงความต้องการได้รวดเร็วมากขึ้น ช่วยให้การซื้อสินค้าของคุณเกิดได้ง่ายขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา จึงน่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ค้าออนไลน์มากขึ้น
ธุรกิจรูปแบบ DTC ขายตรงถึงลูกค้าจะได้รับความนิยมมากขึ้น
DTC (Direct to Customer) หรือรูปแบบธุรกิจที่ผู้ค้าสามารถขายสินค้าโดยตรงให้กับผู้บริโภคได้เลย โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางเป็นวิธีที่หลายแบรนด์เริ่มนำมาใช้มากขึ้น เนื่องจากสามารถช่วยเพิ่มโอกาส เพิ่มยอดขาย และผลกำไรแก่บริษัทผู้ผลิตโดยตรงได้มากกว่า ถึงแม้จะมีมาแล้วสักระยะหนึ่ง แต่ก็ยังได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง ในส่วนผู้บริโภคเองก็รับสินค้าโดยตรงจากแหล่งผลิตเลย โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ทำให้ได้รับสินค้าในราคาที่ถูกลง ยกตัวอย่างเช่นในปี 2562 ที่ Nike ได้ตัดความสัมพันธ์กับ Amazon ในการวางจัดจำหน่ายสินค้า และหันมาขายโดยตรงให้ลูกค้าตัวเองบนหน้าเว็บไซต์แบรนด์ ทำให้สามารถเพิ่มส่วนแบ่งการขายตรงได้มากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว
Tik Tok ยังแรงอย่างต่อเนื่อง
ในปี 2564 Tik Tok เป็นแอปที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดในโลก โดยสูงกว่า 656 ล้านครั้ง แถมจากสถิติยอดโหลดรวมกัน 3 ปี (2562 – 2564) ยังสามารถทำได้ทะลุกว่า 3,000 ล้านครั้งได้ ถือเป็นแอปพลิเคชันตัวแรกที่ไม่ได้อยู่ในเครือเฟซบุ๊ก (Facebook, Messenger, Instagram และ WhatsApp) ที่สามารถทำได้อีกด้วย ฉะนั้นแล้วไม่มีเหตุผลอะไรที่แอปพลิเคชั่นดังกล่าวจะไม่ได้รับความนิยมในปีหน้านี้
การไลฟ์สดขายของ ช้อปปิ้งแบบโต้ตอบได้ ยังได้รับความนิยมดี
เป็นอีกวิธีการขายสินค้าที่ยังได้รับความนิยมที่ดี ทั้งจากผู้ขายและลูกค้าเป็นอย่างดี เพราะทั้งสะดวก รวดเร็วกว่า และสามารถโต้ตอบทำการตกลงซื้อขาย ปิดการขาย สอบถามรายละเอียดกันได้ทันที โดยกลยุทธ์ดังกล่าวได้รับความนิยมในจีนค่อนข้างมาก โดยมีรายงานว่าในปี 2564 ยอดขายสินค้าจากการไลฟ์สดสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศจีนกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ทีเดียว ในฝั่งด้านสหรัฐอเมริกาเอง แม้จะดูได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2566 นี้
เพิ่มโอกาสให้ธุรกิจ ด้วยโฆษณาวิดีโอที่กดซื้อได้
ตามกระแสที่เราเห็นกันมาอย่างต่อเนื่องว่าวิดีโอ คือ สื่อที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดเริ่มพัฒนาไปอีกขั้นสำหรับโฆษณาวิดีโอที่หากผู้ชมสนใจก็สามารถกดสั่งซื้อได้เลยทันที โดยปุ่มดังกล่าวจะโยงไปยังเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ หรือหน้าผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้ชมสามารถเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น แถมบางโฆษณายังมีฟังก์ชันเพิ่มลงในรถเข็นให้ลูกค้ากดชำระเงินได้เลยด้วย ยิ่งเพิ่มความสะดวกให้กับผู้บริโภคและช่วยให้ตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้นด้วย โดย Interactive Advertising Bureau ได้รายงานว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของนักการตลาดตอนนี้ต่างหันมาใช้วิดีโอโฆษณาที่ซื้อได้นี้กันเยอะขึ้น จึงเป็นอีกเทรนด์ที่จะได้เห็นเพิ่มขึ้นในการค้าอีคอมเมิร์ซอย่างแน่นอน
ข้อมูลความเป็นส่วนตัวของลูกค้า เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง
ในการสำรวจล่าสุดชาวอเมริกัน 86 เปอร์เซ็นต์ กล่าวว่าพวกเขากังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ในขณะที่ 68% กล่าวว่ารู้สึกวิตกเกี่ยวกับข้อมูลที่ธุรกิจรวบรวมไว้ จึงแสดงให้เห็นได้ว่าผู้บริโภคส่วนมากยังคงค่อนข้างรู้สึกเป็นกังวลกับข้อมูลส่วนตัวของตัวเองที่จะถูกนำไปเผยแพร่ หรือใช้ประโยชน์ต่อ ดังนั้นผู้ประกอบการธุรกิจจึงไม่ควรละเลย โดยแทนที่จะบังคับให้กดยอมรับคุกกี้ติดตามทั้งหมด อาจมีการแจ้งรายละเอียดประเภทข้อมูลที่ทางแบรนด์ต้องการรวบรวมและอนุญาตให้พวกเขาเลือกไม่ใช้ได้หากต้องการ สิ่งนี้จะทำให้ผู้บริโภครู้สึกมีสิทธิ์ในข้อมูลของตัวเอง และรู้สึกดีที่แบรนด์ให้ความเคารพในสิทธิ์ของพวกเขาเช่นกัน
Omnichannel ยังเป็นการตลาดที่จำเป็น
ถึงแม้ทุกวันนี้เราจะหันมาใช้การตลาดแบบออนไลน์มากขึ้น แต่การตลาดออฟไลน์ในรูปแบบต่างๆ ก็ยังมีความสำคัญไม่แตกต่างกัน เพราะนั่นคือ การสร้างประสบการณ์ และเปิดช่องทางให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงแบรนด์ได้ การตลาดแบบ Omnichannel ที่บวกรวมทั้งออนไลน์และออฟไลน์เข้าไว้ด้วยกัน จึงยังมีความสำคัญอยู่ โดยมีการกล่าวไว้ว่านักการตลาดที่ใช้อย่างน้อย 3 ช่องทางในแคมเปญของพวกเขามีอัตราการที่จะทำให้ได้ยอดการซื้อสูงกว่านักการตลาดที่ใช้ช่องทางเดียวถึง 287 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งค่อนข้างสมเหตุสมผลเนื่องจาก 56 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่อยู่ในร้านค้าได้ใช้สมาร์ทโฟน เพื่อค้นหาผลิตภัณฑ์ เปรียบเทียบราคา ก่อนตัดสินใจซื้อด้วย แสดงให้เห็นว่าแม้แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้หาข้อมูลสินค้าจากช่องทางเดียวเลย
ที่มา : https://ecommercefastlane.com/9-ecommerce-trends-to-stay-ahead-of-the-competition-in-2023/
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี