TEXT : กองบรรณาธิการ
เรียกว่าปรับตัวอยู่ร่วมกันมายาวนาวกับวิกฤตจากไวรัสโควิด-19 ที่ในแต่ละช่วงระยะเวลาก็มักจะส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่แตกต่างกันออกไป ล่าสุดจากการระบาดต่อเนื่องระลอก 3 และ 4 ที่ในวันนี้ก็ยังแทบจะมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ โควิดได้เข้ามาส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคให้เปลี่ยนไปอีกครั้ง จนเกิด 2 ขั้วความต่างระหว่างผู้บริโภคกรุงเทพฯ - ปริมณฑล
และพฤติกรรมของผู้บริโภคในต่างจังหวัดอย่างเห็นได้ชัด จะเป็นอย่างไรนั้นลองไปติดตามกันเลย
จากผลสำรวจของสถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) พบ 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่คนไทยโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลใช้จ่ายมากที่สุด ได้แก่
• อาหาร 25 เปอร์เซ็นต์
• ของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวัน 17 เปอร์เซ็นต์
• โทรศัพท์มือถือและสมาร์ทโฟน 11 เปอร์เซ็นต์
• อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และแท็บเล็ต 6 เปอร์เซ็นต์
• เสื้อผ้าและเครื่องประดับ 5 เปอร์เซ็นต์
โดยจะพบว่าแม้อาหารอาจเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงสุด แต่หากมองภาพรวมของทั้ง 5 อันดับ พบว่ากลุ่มสินค้าที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด ก็คือ สินค้าที่เน้นอำนวยความสะดวกการใช้ชีวิตในบ้านเป็นหลัก ซึ่งมีอยู่มากถึง 3 อันดับด้วยกัน
หากจำแนกเป็นช่วงอายุสำหรับวัย 20-39 ปี พบว่ามีความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ที่รองรับในช่วง Work from home เช่น ของตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์มากขึ้น ขณะที่ช่วงอายุ 50-59 ปี มีความต้องการสิ่งที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เพื่อความสะดวกสบายและมีการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในเรื่องสุขภาพและความงาม
เนื่องจากผู้บริโภคในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลส่วนใหญ่อยู่ในเขตพื้นที่สีแดงเข้มที่มีการระบาดค่อนข้างสูง ต้องกักตัวอยู่บ้าน และ Work From Home อยู่บ้านกันเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่อุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จะเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันและการพัฒนาทักษะเพื่อสร้างรายได้
ในขณะที่ต่างจังหวัดเอง พฤติกรรมความต้องการของผู้บริโภคนั้นแตกต่างออกไปจากกรุงเทพฯ และปริมณฑลอย่างเห็นได้ชัด โดยสถาบันวิจัยฮาคูโฮโดได้ทำการศึกษาแนวโน้มความต้องการในการใช้จ่ายของพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยเพิ่มเติมตามภูมิภาคต่างๆ ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างเดือนมิถุนายนและสิงหาคม พบว่าในภูมิภาคต่างๆ นั้นล้วนมีอัตราความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น
ตั้งแต่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เพิ่มขึ้น +1, ภาคตะวันออก +4, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ +6, ภาคเหนือ +4, ภาคใต้ +2 มีเพียงภาคกลางที่เท่านั้นที่ลดลง -1
จากภาพรวมจะเห็นได้ว่าในพื้นที่ต่างจังหวัดเองนั้น มีแนวโน้มความต้องการในการใช้จ่ายสูงมากกว่าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งพบว่าผู้คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกอยากออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหารนอกบ้าน กิจกรรมกลางแจ้ง รวมไปถึงการท่องเที่ยวมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ไม่ตึงเครียดเท่ากับในพื้นที่ส่วนกลางของประเทศ
โดยมีจุดสังเกตอีกอย่างที่น่าสนใจ คือ จากตัวเลขดังกล่าวจะเห็นได้ว่าภาคที่มีคะแนนแนวโน้มความต้องการในการใช้จ่ายสูงมากเป็นอันดับ 1 ก็คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สาเหตุที่เป็นอย่างนั้น เนื่องจากมีแรงงานบางส่วนได้ย้ายถิ่นฐานกลับไปอาศัยอยู่ยังบ้านเกิดของตนอย่างถาวรมากขึ้น เนื่องจากการระบาดที่ยืดเยื้อกินเวลานาน ต้องเจอกับคำสั่งล็อกดาวน์ ไม่มีงานให้ทำ หลายคนต้องโดนออกจากงาน จึงทำให้มีความต้องการในการซื้อสินค้าเกี่ยวกับที่พักอาศัย การต่อเติมหรือตกแต่งบ้านเพิ่มสูงขึ้นกว่าภูมิภาคอื่นๆ
ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของจ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด ที่ได้ออกมาประเมินภาพรวมการจ้างงานไทยในช่วงครึ่งปีหลังว่าอาจแย่กว่าปีที่ผ่านมา โดยการระบาดของโควิดระลอก 4 ทำประกาศรับงานหายไปเกือบครึ่งจากระบบ
หากย้อนดูจำนวนประกาศงานออนไลน์ในประเทศไทย (รวม Marketplace และ Aggregator) ที่ได้ผลกระทบจาก COVID-19 ในแต่ละระลอกจะพบว่า
ระลอก 1 ลดลง -35.6 เปอร์เซ็นต์
ระลอก 2 ลดลง -45.5 เปอร์เซ็นต์
ระลอก 3 ลดลง -12.5 เปอร์เซ็นต์
ระลอก 4 ลดลง -48.3 เปอร์เซ็นต์
โดยหากเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆ อาจทำให้เกิดปัญหาในระยะยาวตามมา คือ การขาดแคลนแรงงานเข้ามาทำงานในระบบเมื่อสถานการณ์กลับมาดีขึ้น เหมือนกับปรากฏการณ์ “Turnover Tsunami” คลื่นยักษ์สึนามิที่เข้ามากวาดต้อนผู้คนออกไปจากระบบอย่างที่หลายประเทศกำลังกังวลอยู่นั่นเอง
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี