ผ่านความชอกช้ำกับสถานการณ์โควิด-19 มาแล้วสองระลอก ใครจะคิดว่าวันนี้ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับโควิดระลอก 3 ที่ทวีความรุนแรงกว่าครั้งที่ผ่านๆ มาด้วยซ้ำ หนึ่งในอุตสาหกรรมแรกๆ ที่ต้องเจ็บหนักจากโควิด หนีไม่พ้น “อุตสาหกรรมท่องเที่ยว” ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การระบาดของโควิด น่าจะส่งผลกระทบทำให้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 รายได้จากท่องเที่ยวไทยจะหายไปเป็นมูลค่ากว่า 1.3 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับคาดการณ์เดิม ณ มกราคม 2564
เมื่อเทศกาล “สงกรานต์” กลับมาพร้อมโควิดระลอกใหม่
ก่อนหน้านี้ธุรกิจท่องเที่ยวไทยกำลังเริ่มกลับมาสู่เส้นทางการฟื้นตัว หลังจากที่ต้องหยุดชะลอลงจากเหตุการณ์การระบาดของโควิดในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ใครจะคิดว่าเพียงก้าวเข้าสู่ไตรมาส 2 ของปี 2564 โควิด-19 จะกลับมาระบาดในประเทศอีกครั้งเป็นระลอกที่ 3 ซึ่งนับเป็นข่าวร้ายต่อภาคธุรกิจท่องเที่ยวอย่างมาก
จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาล่าสุด พบว่า การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของคนไทยในเดือน กุมภาพันธ์ 2564 เพิ่มขึ้นกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ จากเดือนมกราคม 2564 ซึ่งในเดือนมกราคมที่ผ่านมา เป็นเดือนที่ตลาดไทยเที่ยวไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของโควิดระลอกที่ 2 โดยจำนวนนักท่องเที่ยวไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเหลือเพียง 4.51 ล้านคน-ครั้งเท่านั้น
และจากการระบาดของโควิดระลอกที่ 3 นี้ พบผู้ติดเชื้อในประเทศเป็นกลุ่มก้อนจำนวนมากกว่าที่ผ่านมา โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ก่อนกระจายไปในอีกหลายจังหวัดตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน ทำให้ทางการต้องยกระดับมาตรการการเฝ้าระวังการระบาดของโควิดอีกครั้ง การขอความร่วมมือทำงานที่บ้านและงดการเดินทางข้ามจังหวัด
สถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลทำให้นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีแผนเดินทางท่องเที่ยวในช่วงไตรมาส 2 นี้ ต่างปรับเลื่อนแผนการท่องเที่ยวออกไป โดยเฉพาะการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งจากข้อมูลเบื้องต้น พบว่า ธุรกิจท่องเที่ยวอย่างบริษัทนำเที่ยว โรงแรมและที่พักในพื้นที่ท่องเที่ยวหลายแห่งถูกยกเลิกจองในช่วงนี้ เนื่องจากนักท่องเที่ยวมีความกังวลต่อสถานการณ์การระบาดของโรค และยังไม่แน่ใจต่อมาตรการในการควบคุมโรคในระยะถัดไป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การระบาดของโควิดรอบนี้ จะส่งผลกระทบต่อรายได้ในธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่องที่สูญเสียไปคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.0 หมื่นล้านบาท จากคาดการณ์เดิมในช่วงเดือน มีนาคม 2564 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะเกิดการระบาดระลอกที่ 3 ขณะที่แผนการเดินทางท่องเที่ยวของคนไทยในช่วงนี้ยังมีความเสี่ยงจากสถานการณ์การระบาดของโควิด และมาตรการการควบคุมโรคของแต่ละจังหวัด
โควิด-19 ยังไม่จบ กระทบรายได้ท่องเที่ยวครึ่งแรกปี 64 ต่ำกว่าคาด
เป็นที่คาดการณ์ว่า การระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 3 นี้ มีโอกาสที่จะใช้ระยะเวลานานกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ในการควบคุมสถานการณ์ให้คลี่คลาย เนื่องจากพบผู้ติดเชื้อในประเทศมีจำนวนค่อนข้างสูง เชื้อโควิดเป็นไวรัสสายพันธุ์ที่แตกต่างจากเดิมที่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ระบุว่าสามารถแพร่ได้เร็ว อีกทั้งต้นตอของการระบาดมาจากพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจในสัดส่วนสูง ขณะที่การระบาดรอบนี้ เกิดขึ้นหลังรอบก่อนหน้าภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือน จึงส่งผลกระทบต่อตลาดไทยเที่ยวไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 นี้ อย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การระบาดของโควิดที่เกิดขึ้น จะส่งผลกระทบทำให้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 นี้ รายได้ตลาดไทยเที่ยวไทยน่าจะมีมูลค่าประมาณ 1.37 แสนล้านบาท คิดเป็นรายได้ท่องเที่ยวที่หายไปเป็นมูลค่ากว่า 1.30 แสนล้านบาท เทียบกับคาดการณ์เดิม ณ มกราคม 2564
ทั้งนี้ แม้ทางการจะสามารถควบคุมการระบาดของโควิดระลอกที่ 3 นี้ได้ แต่จากการระบาดของโควิดที่ยังไม่ยุติลงในระยะเวลาอันใกล้ทั้งในและต่างประเทศ แม้จะมีการเริ่มฉีดวัคซีนกันแล้ว แต่ยังมีจำนวนจำกัด ขณะที่ประสิทธิผลของวัคซีนยังไม่อาจสรุปได้ว่าคนที่ฉีดแล้วจะไม่แพร่เชื้อ รวมถึงระยะเวลาป้องกันการติดโรคที่ยังไม่แน่นอน ทำให้จากนี้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ยังต้องดำเนินการอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
สิ่งสำคัญในช่วงเวลานี้ จึงเป็นการสร้างความเชื่อมั่นของภาครัฐด้วยการเร่งฉีดวัคซีนที่มีอยู่ การเปิดทางเลือกที่หลากหลายต่อประเด็นการจัดหาวัคซีนเพื่อให้คนไทยได้รับการฉีดวัคซีนที่เร็วและครอบคลุมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตลอดจนการคำนึงถึงประเด็นที่ว่า ประชากรหนึ่งคนอาจจำเป็นต้องฉีดวัคซีนต่อเนื่องหลายเซ็ตในช่วงปีข้างหน้า นอกเหนือจากนี้ คือความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนในการควบคุมการระบาดของโรคให้จบในเร็ววัน ซึ่งเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ทุกภาคส่วนก็ยังควรต้องรักษาระดับมาตรฐานการป้องกันการระบาดของโควิดที่เข้มงวด
ขณะที่ผู้ประกอบการเองคงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทั้งในด้านความเสี่ยงเชิงนโยบายและปัจจัยแวดล้อมของตลาด เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในระยะยาวนั่นเอง
ที่มา : เรียบเรียงข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี