Main Idea
5 สิ่งต้องมีถ้าจะจัดหน้าร้านให้ยอดขายปัง
- สี – เลือกใช้โทนสีที่เหมาะและสื่ออารมณ์ความหมายของสินค้าและแบรนด์ได้ดี
- เล่าเรื่อง – ตอกย้ำคุณค่า สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและแบรนด์ด้วยเรื่องเล่า
- จัดหมวดหมู่ – สินค้าที่จัดหมวดหมู่ให้เลือกซื้อง่าย เป็นการเพิ่มประสบการณ์ช้อปปิ้งที่คล่องตัวให้ลูกค้า
- ป้ายอธิบาย – เป็นรูปแบบการสื่อสารที่ง่าย ทำให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าได้ด้วยตนเอง
- ดิสเพลย์ – ควรมีการปรับเปลี่ยน จัดหน้าดิสเพลย์ใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อดึงดูดใจลูกค้าใหม่ๆ
การจัดหน้าร้านให้สวยงามน่าเข้า มีป้ายบอกข้อมูลสินค้าไว้ชัดเจน ย่อมเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาเลือกซื้อสินค้าได้มากขึ้น โดยในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะแค่หน้าร้านแบบออฟไลน์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจัดตกแต่งหน้าร้านผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ด้วย เพราะต่างก็ล้วนมีความสำคัญต่อธุรกิจด้วยกันทั้งคู่
แล้วหน้าร้านแบบไหนล่ะ ถึงจะถูกใจลูกค้า ช่วยเพิ่มยอดขายกระฉูดขึ้นมาได้ ลองไปดู 5 องค์ประกอบสำคัญนี้กัน
สี
สี นับเป็นองค์ประกอบแรกๆ ที่จะช่วยสื่อสารตัวตนของแบรนด์ออกไปให้ลูกค้าได้รับรู้ ขณะเดียวกันยังสามารถสร้างบรรยากาศกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างแก่ลูกค้าในขณะที่เลือกซื้อสินค้าได้ ซึ่งอาจมีทั้งผลดี คือ ช่วยส่งเสริมการขาย หรือบางครั้งอาจยับยั้งการขายแบบไม่รู้ตัวก็ได้ หากเลือกใช้สีผิดความหมายและไม่ตรงกับตัวธุรกิจ
ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจเปิดร้านขายเฟอร์นิเจอร์ระดับไฮเอนด์ที่ทันสมัย เรียบหรู ซึ่งสีที่เหมาะสม คือ โทนสีเข้ม หรือสีพาสเทลอ่อนๆ แต่คุณกลับไปเลือกใช้โทนสีนีออนสะท้อนแสงที่ดูฉูดฉาดแทน ก็อาจสื่อความหมายของแบรนด์ออกมาผิดเพี้ยนได้ ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกใช้สี ไม่ว่าหน้าร้านหรือบนเว็บไซต์ควรศึกษาความหมาย การส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของแต่ละสีให้ดีเสียก่อน
การเล่าเรื่อง
การสร้างธีมหรือเรื่องราวของแบรนด์ขึ้นมาออกไปให้ลูกค้ารับรู้ เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ทั้งในร้านค้าปลีกหรือบนเว็บไซต์ของคุณเอง ซึ่งนับเป็นการเพิ่มมูลค่า และความน่าสนใจให้กับสินค้าขึ้นมาในอีกระดับหนึ่ง รวมไปถึงอาจช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับลูกค้าเพิ่มขึ้นมาได้ด้วย โดยการบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ออกมา อาจเริ่มต้นจากแรงบันดาลใจในการก่อตั้งธุรกิจ แรงบันดาลใจในการผลิตสินค้าขึ้นมาแต่ละชิ้น
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงคุณค่าประโยชน์ต่างๆ ที่ลูกค้าจะได้รับจากสินค้าของคุณ ซึ่งสามารถนำไปสอดแทรกอยู่ในผลิตภัณฑ์ได้ทุกตัวและทุกโอกาส ไม่ว่าสินค้าขายดี สินค้ามาใหม่ หรืออื่นๆ โดยทั้งหมดควรดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าโทนสีที่ใช้ รูปภาพประกอบ รวมถึงลักษณะของภาษาที่ใช้ด้วย
การจัดหมวดหมู่
เป็นอีกสิ่งสำคัญของการจัดหน้าร้านเพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้ามาเลือกซื้อและค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่าย สะดวก ไม่ว่าจะในหน้าร้านค้าปลีก หรือแม้แต่บนเว็บไซต์เองก็ตาม โดยอาจเริ่มด้วยการจัดแยกสินค้าออกมาเป็นหมวดหมู่ใหญ่ๆ ก่อน จากนั้นจึงค่อยแยกย่อยลงไป ซึ่งหากคุณสามารถจัดแบ่งประเภทได้ชัดเจน ละเอียดมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งส่งผลต่อประสบการณ์ช้อปปิ้งที่คล่องตัวของลูกค้าได้มากขึ้นเท่านั้น
ทั้งนี้อาจไม่จำเป็นต้องแบ่งตามหลักการแบ่งหมวดหมู่ทั่วไปก็ได้ โดยที่เจ้าของร้านค้าอาจสร้างขึ้นมาเอง เช่น เป็นร้านขายเสื้อผ้า แทนที่จะแยกประเภทตามเสื้อผ้าลำลอง เสื้อผ้าชุดทำงาน เราอาจแบ่งโซนตามความยาวของแขนเสื้อ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้ามาเลือกซื้อได้ง่ายขึ้นตามสไตล์ที่ต้องการ สำหรับในฝั่งของออฟไลน์อาจนำหลักการจัดดิสเพลย์หรือการจัดพื้นที่ใช้สอยต่างๆ เข้ามาเพิ่มด้วยก็ได้
ป้าย/คำอธิบาย
นอกจากการจัดหมวดหมู่ที่ชัดเจน เพื่อการค้นหาสินค้าได้ง่ายขึ้นแล้ว อีกสิ่งที่จะเป็นตัวช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าได้อย่างง่ายดายด้วยตนเอง ก็คือ ป้ายและคำอธิบายต่างๆ ซึ่งสินค้าตัวหนึ่งสามารถใช้ได้หลายป้าย ไม่ว่าจะเป็นป้ายอธิบายหรือบอกชื่อสินค้า ป้ายราคา ป้ายโปรโมชั่น ป้ายสินค้าใหม่ ฯลฯ ซึ่งป้ายเหล่านี้ถือเป็นช่องทางการสื่อสารที่ดีอย่างหนึ่งให้กับสินค้า โดยที่แบรนด์ไม่ต้องทำอะไรมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรเลือกใช้ให้เหมาะสม ข้อมูลไม่มากเกินไปจนสับสน ขณะเดียวกันก็ไม่น้อยเกินไปจนไม่รู้เรื่อง โดยไม่เฉพาะแค่ออฟไลน์เท่านั้น
ป้ายต่างๆ เหล่านี้ยังสามารถดัดแปลงนำไปใช้เพื่อกระตุ้นการขายในออนไลน์ได้เช่นกัน แต่อย่างที่บอกว่าอย่าให้รกมากจนเกินไป อาจเลือกใช้ป้ายใดป้ายหนึ่ง เพื่อสื่อสารออกไปให้ชัดเจน เช่น หากสินค้านั้นเป็นสินค้าใหม่ และขณะเดียวกันก็ต้องการจัดโปรโมชั่นพิเศษ เราอาจเลือกติดแค่ป้ายโปรโมชั่น เพื่อสื่อสารสาระสำคัญออกไป ที่เหลือจึงค่อยนำมาเขียนอธิบายเพิ่มเติมในเนื้อหา
การจัดดิสเพลย์
ข้อสุดท้าย การอยู่กับหน้าร้านรูปแบบเดิมๆ นานๆ อาจทำให้ลูกค้าเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ตื่นเต้น ไม่ดึงดูดใจ การปรับเปลี่ยนหน้าร้านหรือดิสเพลย์ต่างๆ บ้าง แม้เพียงเล็กน้อยอาจช่วยสร้างสีสันและความน่าสนใจในการเข้ามาเลือกซื้อสินค้าใหม่ๆ ให้กับลูกค้าได้ โดยอาจไม่ต้องจำเป็นลงทุนสร้างฉาก จัดพร็อพที่แพงเกินไป เพียงแค่เปลี่ยนของตกแต่งนิดหน่อย หรือแม้แต่สลับสับเปลี่ยนตำแหน่งตู้โชว์ ชั้นวางต่างๆ ก็สามารถสร้างความแปลกตาให้กับลูกค้าที่พบเห็นได้แล้ว
สำหรับในส่วนของออนไลน์เอง เราปรับการจัดเลย์เอาท์รูป ข้อความ หรือนำเสนอภาพถ่ายที่แตกต่างไปจากเดิมบ้างก็ได้ นอกจากจะดูไม่น่าเบื่อแล้วยังอาจกระตุ้นให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นก็ได้ เช่น จากการนำเสนอภาพถ่ายที่โชว์สินค้าเพียงอย่างเดียว อาจเปลี่ยนเป็นรูปไลฟ์สไตล์การนำสินค้าไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ของวันก็ได้
และนี่คือ 5 เทคนิคของการจัดหน้าร้านให้ปัง สวย ดึงดูดใจลูกค้าได้ ซึ่งไม่ว่าจะออฟไลน์ หรือออนไลน์หากเข้าใจในความสำคัญขององค์ประกอบต่างๆ ได้แล้ว ก็สามารถนำไปปรับใช้ได้ไม่แตกต่างกันเลยทีเดียว
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี