Main Idea
- ถึงแม้จะเปิดปีใหม่ 2563 มาด้วยปัญหาฝุ่น PM2.5 และสถานการณ์ COVID-19 แต่ธุรกิจจัดงานวิ่งในไทยยังคงคึกคักอย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ปี 2563 ธุรกิจจัดงานวิ่งในไทยจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนราว 1,700 ล้านบาท จากจำนวนนักวิ่ง 4-6 ล้านคน และจำนวนงานวิ่งทั้งปีไม่ต่ำกว่า 1,800 รายการ
- ซึ่งธุรกิจที่ได้อานิสงส์ คือ ผู้ผลิตและจำหน่ายเสื้อ/อุปกรณ์ที่ระลึกงานวิ่ง เหรียญและถ้วยรางวัล ผู้ผลิตป้ายหมายเลขวิ่ง (BIB) ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ผู้ให้บริการสถานที่จัดงาน หากเป็นงานวิ่งต่างจังหวัด จะส่งผลถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางและที่พัก ตลอดจนชุดกีฬา Accessories และอาหารเสริม เป็นต้น
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าการยกระดับการจัดงานวิ่งจากประเภททั่วไป ไปสู่งานวิ่งระดับชาติตามมาตรฐานสากล เป็นแนวทางหนึ่งที่ธุรกิจรับจัดงานวิ่งที่มีศักยภาพควรพิจารณา แม้จะมีความท้าทาย แต่หากทำได้ ก็จะเปิดโอกาสทางธุรกิจได้อีกมาก
ยังเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับการจัดงานวิ่ง รับตลาดคนรักสุขภาพที่เติบโตเพิ่มขึ้น
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จำนวนงานวิ่งที่มีการเก็บค่าใช้จ่ายกับนักวิ่งที่เข้าร่วมงาน มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยทะลุ 1,000 รายการเป็นครั้งแรกในปี 2561 และมีจำนวนถึง 1,872 รายการทั่วประเทศไทยในปี 2562 ซึ่งการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นการจัดงานวิ่งในต่างจังหวัดที่ปัจจุบันกระจายไปครอบคลุมเกือบครบทุกจังหวัดแล้ว ขณะที่งานวิ่งในกรุงเทพฯ ค่อนข้างทรงตัวหรือเพิ่มในอัตราที่น้อยกว่า ทั้งนี้ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะจำนวนสถานที่การจัดงานในกรุงเทพฯ อย่างสวนสาธารณะมีค่อนข้างจำกัดนั่นเอง
- ธุรกิจเติบโตตามตลาดคนวิ่ง และผู้จัดงาน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย บอกว่า การเติบโตของจำนวนงานวิ่งที่เพิ่มขึ้น สะท้อนถึงการให้การตอบรับของผู้บริโภคหรือนักวิ่ง ทั้งกลุ่มนักวิ่งประจำที่มักเข้าร่วมงานวิ่งเพื่อฝึกซ้อม/พัฒนาระยะการวิ่งของตนในสนามที่แตกต่าง และกลุ่มนักวิ่งหน้าใหม่ที่หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพหรือเข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อนฝูง/ครอบครัว รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุด้วย ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อนักวิ่งตอบรับมากขึ้น ฝั่งผู้จัดงานหรือเจ้าภาพก็เพิ่มจำนวนขึ้นด้วย จากเดิมที่อาจจำกัดเพียงบางองค์กร ก็ขยายไปครอบคลุมทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา ที่นอกจากจะจัดงานวิ่งเพื่อประชาสัมพันธ์องค์กรหรือระดมทุนเฉพาะกิจแล้ว ยังเป็นหนึ่งในการทำกิจกรรมด้านการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ของภาคเอกชนเป็นหลักด้วย ทิศทางดังกล่าวนี้เองที่สนับสนุนให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในธุรกิจรับจัดงานวิ่ง ขณะเดียวกันก็สร้างผลบวกต่อสินค้าและบริการที่เกี่ยวกับการวิ่งเช่นเดียวกัน
- คาดการณ์ทิศทางธุรกิจจัดงานวิ่งปี 2563
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 2563 จำนวนการจัดงานวิ่งอาจใกล้เคียงกับในปีที่ผ่านมา หรืออยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 1,800 รายการ โดยในปีนี้ ปัจจัยเฉพาะอย่างความกังวลต่อสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาในประเทศจีนซึ่งพบผู้ติดเชื้อในไทยด้วย อาจมีผลกระทบให้ผู้จัดงานส่วนหนึ่งปรับแผนการจัดงานวิ่งในช่วงครึ่งปีแรกโดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ที่นักวิ่งยังมีความกังวลต่อสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอน ขณะที่บางส่วนที่ขายบัตรไปแล้วอาจไม่ยกเลิกแต่คงเพิ่มมาตรการป้องกันเข้มข้นขึ้นแทน ยิ่งถ้าเป็นงานที่มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมจำนวนมาก
อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์ไวรัสโคโรนาคลี่คลาย คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยเฉพาะช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม ผู้จัดงานน่าจะยังคงมีการจัดงานวิ่งไม่ต่างจากปีก่อนๆ หรืออาจเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย เพราะช่วงเวลาดังกล่าว เป็นจังหวะที่มักจะมีงานวิ่งมากคิดเป็นสัดส่วนถึงราวร้อยละ 43 ของจำนวนงานวิ่งทั้งหมดในแต่ละปี อนึ่ง โดยรวมทั้งปี กว่าร้อยละ 80 ของจำนวนงานวิ่งน่าจะยังคงกระจายตัวไปตามจังหวัดต่างๆ ขณะที่งานวิ่งในกรุงเทพฯ น่าจะมีสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 20
- ธุรกิจรับอานิสงส์ตลาดงานวิ่ง 1.7 พันล้าน
ทั้งนี้หากประเมินมูลค่าธุรกิจรับจัดงานวิ่งจากรายได้ค่าจำหน่ายบัตรซึ่งแปรผันตามจำนวนนักวิ่ง กับเงินสนับสนุนจากเจ้าภาพ/สปอนเซอร์ผ่านงบกิจกรรมการตลาดซึ่งมีสัดส่วนอย่างน้อยร้อยละ 20-30 ต่อรายได้งาน ขึ้นอยู่กับขนาดการจัดงาน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าธุรกิจรับจัดงานวิ่งในปี 2563 จะอยู่ที่ประมาณ 1,700 ล้านบาท โดยนักวิ่งที่จะเข้าร่วมงานทั้งกว่า 1,800 รายการดังกล่าว น่าจะมีจำนวนราว 4-6 ล้านคน ขณะที่เจ้าภาพ/สปอนเซอร์ภาคเอกชนน่าจะยังเลือกใช้กิจกรรมนี้เป็นช่องทางสื่อสารการตลาดอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากจะช่วยสร้างการรับรู้และจดจำแบรนด์แล้ว ยังเป็นโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เน้นการดูแลสุขภาพซึ่งน่าจะเป็นลูกค้าศักยภาพอีกด้วย
ขณะที่ เม็ดเงินจากรายได้ของธุรกิจรับจัดงานวิ่งนี้ จะถูกกระจายไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจที่ผลิตและจำหน่ายเสื้อ/อุปกรณ์ที่ระลึกงานวิ่ง เหรียญและถ้วยรางวัล ผู้ผลิตป้ายหมายเลขวิ่ง (BIB) ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ผู้ให้บริการสถานที่จัดงาน ในขณะเดียวกัน การเข้าร่วมงานวิ่งโดยเฉพาะในต่างจังหวัด ก็อาจทำให้นักวิ่งมีค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางและที่พักเพิ่มเติม นอกเหนือการใช้จ่ายในส่วนของชุดกีฬา Accessories & Gadgets อาหารเสริม เป็นต้น
- ปัจจัยเสี่ยงธุรกิจจัดงานวิ่งปี 2563
ทั้งนี้ในปี 2563 นี้ นอกจากปัจจัยเฉพาะที่มีผลต่อบรรยากาศการจัดงานวิ่งและทำให้นักวิ่งคงจะมีความรอบคอบระมัดระวังมากขึ้นในการตัดสินใจเลือกเข้าร่วมงาน ทั้งสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 และความกังวลต่อเชื้อไวรัสโคโรนาแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ธุรกิจรับจัดงานวิ่งยังอาจเผชิญความท้าทายจากการดึงดูดฐานนักวิ่งที่มีกำลังซื้อให้ยังคงสนใจเข้าร่วมกิจกรรมงานวิ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโจทย์ที่ไม่ง่าย ทั้งในกลุ่มนักวิ่งประจำ ที่คาดหวังจะได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ หรือมีความต้องการที่ซับซ้อนขึ้น โดยมองหาประสบการณ์และความท้าทายใหม่ๆ เพื่อพัฒนาฝีเท้าตนเอง หรือแม้แต่สนใจที่จะเข้าร่วมงานวิ่งระดับอาชีพในต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วย และกลุ่มนักวิ่งหน้าใหม่ที่มีกำลังซื้อและยินดีที่จะใช้จ่ายเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายในด้านการเดินทางและที่พักหากงานจัดในต่างจังหวัดด้วย
ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็มีทางเลือกของการออกกำลังกายที่หลากหลายในปัจจุบัน นอกจากนี้ จำนวนงานและผู้จัดงานในประเทศก็เพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้น ผลตอบแทนสุทธิที่ได้รับจากการจัดงานวิ่งแต่ละงานอาจไม่มากเท่าในอดีต เพราะผู้จัดงานต้องพยายามสร้างจุดขายที่แตกต่างและอาจจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรทั้งด้านเงินทุนและแรงงานมากขึ้น
- ปรับตัวยกระดับสู่งานวิ่งระดับชาติมาตรฐานสากล
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า การยกระดับการจัดงานวิ่งจากประเภททั่วไป ไปสู่งานวิ่งระดับชาติตามมาตรฐานสากล น่าจะเป็นแนวทางหนึ่งที่ธุรกิจรับจัดงานวิ่งที่มีศักยภาพควรจะมุ่งไป เพราะนอกจากการจัดงานดังกล่าว จะสามารถดึงดูดฐานนักวิ่งได้มากขึ้นทั้งนักวิ่งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะนักกีฬาอาชีพในระดับอาเซียนหรือแม้แต่ระดับโลก ผู้จัดงานร่วมกับพันธมิตรในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องยังมีโอกาสในการสร้างรายได้จากมูลค่าเพิ่มของการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักวิ่งตลอดงาน โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและโภชนาการ รวมถึงบริการโรงแรมที่พักและการท่องเที่ยว เนื่องจากหากนักกีฬาต่างชาติวางแผนจะเข้าร่วมงานวิ่งในไทย ก็น่าจะใช้เวลาเข้าร่วมกิจกรรมและท่องเที่ยวในประเทศเฉลี่ยราวๆ 5-7 วัน ซึ่งก็จะถือเป็นการจัดอีเวนท์ที่สร้างรายได้เข้าประเทศ สอดคล้องไปกับนโยบายของภาครัฐที่ต้องการสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) ผ่านการวางเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการจัดงานอีเวนท์กีฬาระดับโลกต่างๆ ด้วย
อย่างไรก็ดี การดำเนินการดังกล่าว ผู้ประกอบการคงต้องมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีและมาตรฐานต่างๆ ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล รวมทั้งการได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ในการจัดงานวิ่งระดับชาติ ผู้จัดงานก็ควรเลือกจังหวะเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ทับซ้อนกับงานวิ่งระดับเดียวกันในต่างประเทศด้วย ซึ่งงานระดับมาตรฐานสากลในภูมิภาคเอเชีย ส่วนใหญ่จะจัดที่ประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน
ทั้งนี้ ปัจจุบันงานวิ่งในไทยที่ก้าวสู่ระดับมาตรฐานสากล ได้แก่ บางแสน21 ฮาล์ฟมาราธอน (ได้รับการรับรองมาตรฐาน IAAF Silver Label ในปี 2562) บุรีรัมย์มาราธอน (ได้รับการรับรองมาตรฐาน IAAF Bronze Label ในปี 2562) บางแสน42 ชลบุรีมาราธอน (อยู่ระหว่างการยื่นขอมาตรฐาน IAAF Bronze Label) รวมถึงอีกหลายงานที่อยู่ระหว่างการยกระดับ อาทิ จอมบึง มาราธอน ภูเก็ตธอน อเมซิ่งไทยแลนด์ มาราธอน เป็นต้น
นี่คืออีกหนึ่งโอกาสธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไทย ทั้งในกลุ่มธุรกิจรับจัดงานวิ่ง และผู้ผลิตสินค้าหรือบริการมาสนองตลาดงานวิ่งที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขอเพียงจับเทรนด์ให้ทัน และปรับตัวให้รวดเร็ว ทุกปรากฏการณ์ก็เป็นโอกาสให้ SME ไทยได้เสมอ
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี