Main Idea
- เพราะโลกวันนี้เปลี่ยนเร็ว เปลี่ยนไว อะไรที่เคยรู้มาก่อนหน้านี้ มันอาจไม่ใช่อีกแล้วในวันนี้ หรือสิ่งที่เคยใหม่ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องเก่าได้ในไม่ช้าเช่นกัน สิ่งที่ต้องทำคือการเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
- และนี่คือ 4 บิ๊กเทรนด์ที่จะมาเปลี่ยนโลกอนาคต โดย “เอกบดินทร์ เด่นสุธรรม” ผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญทางด้านวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจ บริษัท เด็นส์ ว็อท จำกัด ที่ฝากไว้ในงานสัมมนาแห่งปี “Next Trends 2020” โดยนิตยสาร SME Thailand ร่วมกับ นิตยสาร SME STARTUP ภายใต้หัวข้อ “Marketing 2020 บิ๊กเทรนด์เปลี่ยนโลก”
กว่า 20 ปีที่ผ่านมา เราทุกคนเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ องค์ความรู้ที่เข้ามาทำให้เราต้องปรับตัว ตลอดจนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ส่งผลให้ธุรกิจจะนิ่งเฉยไม่ได้ เพราะ...
“เราต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”
นี่คือคำพูดของ “เอกบดินทร์ เด่นสุธรรม” ผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญทางด้านวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจ บริษัท เด็นส์ ว็อท จำกัด จากงานสัมมนาแห่งปี “Next Trends 2020” โดยนิตยสาร SME Thailand ร่วมกับ นิตยสาร SME STARTUP ภายใต้หัวข้อ “Marketing 2020 บิ๊กเทรนด์เปลี่ยนโลก”
โดยเอกบดินทร์ได้เริ่มต้นจากการพูดถึงเรื่องที่ทุกคนกำลังเปลี่ยนผ่านในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เคยรู้อาจใช้ไม่ได้อีกแล้วในวันนี้ สิ่งที่เคยใหม่ในวันนี้ พอพรุ่งนี้ก็กลายเป็นเรื่องเก่า
“ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โลกของเราเปลี่ยนไปเร็วมาก แตกต่างจากช่วง 30-40 ปีที่แล้ว ที่เราค่อยๆ เรียนรู้ แต่ที่ผ่านมา เราอาจจะรู้สึกว่า ใช่เหรอ สิ่งที่เคยรู้มาจริงเหรอ ช้าไปอีกแล้วเหรอ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม คุณอาจจะรู้สึกว่าเหมือนมีภูเขาหิมะพุ่งมาหาเรา” เขาบอก
สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้คือเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ตำรวจจีนที่มีการใช้ AI เข้ามาช่วยในการสืบสวน ค้นหาผู้กระทำความผิด โดยสามารถมองเห็นได้ผ่านแว่นตาว่าใครทำผิดกฎหมายอะไรหรือไม่ นอกจากนี้ ยังเป็นเรื่องของประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ผู้บริโภคมีกับการท่องเที่ยวมากขึ้น ถูกตามใจจากแบรนด์มากขึ้น ธุรกิจต่างๆ จึงจำเป็นต้องสร้างประสบการณ์ที่ดีกว่าเดิมเพื่อให้ลูกค้าประทับใจ ซึ่งความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นความท้าทายที่ทำให้ผู้ประกอบการต้องมองว่าจะทำอย่างไรถึงจะสามารถทำให้ธุรกิจเกิดความสมดุลได้ แล้วจะทำอย่างไรถึงจะพร้อมสำหรับปีหน้า
Look beyond competitor มองไปข้างหน้าให้เหนือคู่แข่ง
เอกบดินทร์มองว่า สิ่งที่ทุกคนต้องปรับความคิดใหม่นั่นคือ การ Look beyond competitor หรือการมองให้เหนือกว่าสิ่งที่เรียกว่า “คู่แข่ง”
“วันนี้สมมุติว่าเราขายพิซซ่า เราจะคิดแค่ว่าคู่แข่งของเราคือคนขายพิซซ่าเหมือนกันไม่ได้อีกแล้ว แต่คู่แข่งของเราคือใครก็ตามที่ขายอาหาร ผมมองว่าในตอนนี้ สิ่งที่ทุกคนต้องแข่งกันไม่ใช่การมองคู่แข่งเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องแข่งกันเอาใจผู้บริโภค” เขาบอกความท้าทายในโลกยุคนี้
ก่อนขยายความถึง 5 สิ่งสำคัญในการเอาใจผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งประกอบด้วย
1.On Demand
ในยุคนี้ผู้บริโภครอไม่ได้หรือระยะเวลาในการรอน้อยลง นั่นเป็นเพราะธุรกิจต่างๆ แข่งกันเอาใจผู้บริโภค ตามใจลูกค้า เช่น สถิติล่าสุดของ Uber จากเดิมที่คนเคยสามารถรอรถตอนเรียกได้ 15 นาที ก็ขยับมาเป็น 10 นาที จนตอนนี้พวกเขายอมรอได้แค่ 3 นาทีเท่านั้น และหากเริ่มรอไม่ได้ในธุรกิจหนึ่ง คนกลุ่มนี้ก็จะรอไม่ได้ในธุรกิจอื่นๆ ตามไปด้วย
2.Personalized
โลกในตอนนี้มีการเล่นกับข้อมูลมากขึ้น โดยหลายธุรกิจจะไม่ทำ Segment of one อีกต่อไป แต่พวกเขาจะเจาะลึกลงไปถึงความต้องการของผู้บริโภคแต่ละคน แล้วนำเสนอสินค้าหรือบริการที่เหมาะสมกับพวกเขาโดยเฉพาะมาตอบสนอง
3.Expectation Economy
เป็นสภาวะเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคมีความรู้มากขึ้น ทำให้พวกเขามีความคาดหวังต่อตัวแบรนด์ สินค้า การให้บริการ และพวกเขาจะนำความคาดหวังจากที่หนึ่งไปใช้กับอีกที่หนึ่งด้วย
4.Keep and Open Mind
สิ่งสำคัญในยุคนี้คือการที่คุณเปิดใจยอมรับในสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น หลายสิ่งหลายอย่างที่เข้ามามันอาจจะเวิร์กหรืออาจจะไม่เวิร์กก็เป็นได้ คุณแค่ต้องทดลองทำในสิ่งใหม่ๆ
5.Lightbulb Moment
หลังจากที่ฟังงานสัมมนาหรือว่าได้รับข้อมูลใหม่ๆ สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทำคือการใช้เวลากับตัวเอง อยู่กับตัวเองและนำข้อมูลที่ได้มาไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณ
ส่อง 4 บิ๊กเทรนด์เปลี่ยนโลกธุรกิจ
แล้วเทรนด์อะไรที่จะเปลี่ยนโลกธุรกิจในวันนี้ เอกบดินทร์ พูดถึง 4 บิ๊กเทรนด์สำคัญ ที่ผู้ประกอบการต้องจับตา นั่นคือ
- Automated is here
เขากล่าวว่าในตอนนี้โลกแห่งหุ่นยนต์ได้มาถึงเรียบร้อยแล้ว มีหลายประเทศที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทางด้าน AI เทคโนโลยี โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ด้านคือ
- ความสะดวกสบาย
โดยความสะดวกสบายนับเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ และระบบอัตโนมัติของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นนั้นช่วยทำให้ผู้บริโภคยุคใหม่ได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เช่น ร้านสะดวกซื้อสุดไฮเทคของ Amazon Go จาก Amazon ที่ได้สร้างซูเปอร์มาร์เก็ตที่ไม่ต้องมีพนักงานทำงานแม้แต่คนเดียว โดยลูกค้าสามารถหยิบสินค้าและจ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชันและยังมีซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใช้โมเดลคล้ายกันนี้ที่ประเทศจีนชื่อว่า BingoBox
ต่อไปทุกคนจะได้เห็นเทคโนโลยีที่มาตอบโจทย์ความสะดวกสบายมากขึ้นหรือเรียกได้ว่าเป็น Automated X ประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับในปี 2020 นั้นจะต้องว้าวขึ้น สุดโต่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา
- ความสุขของผู้บริโภค
นอกจากความสะดวกสบายแล้ว ความสุขคือสิ่งที่เทคโนโลยีจะต้องตอบโจทย์คนในยุคนี้ เพราะหลายคนอาจรู้สึกว่าเทคโนโลยีหรือระบบอัติโนมัติอาจจะตอบโจทย์ในเรื่องของความเร็ว ความแม่นยำได้ก็จริง แต่สิ่งสำคัญคือจะทำอย่างไรให้พวกเขามีความสุขมากขึ้นด้วย เช่น หุ่นยนต์ในยุคใหม่ที่ถูกออกแบบให้มีความน่ารัก มีความสนุกสนานและสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้งานเพื่อให้คนรู้สึกว่าหุ่นยนต์ไม่น่ากลัวอีกต่อไป เป็นต้น
นอกจากนี้ยังต้องทำในสิ่งที่เรียกว่า Automation Theater คือทำอย่างไรให้เทคโนโลยีนั้นสร้างความสุขและอยู่กับผู้บริโภคได้นานมากขึ้นด้วย
- Cities : Explode
ในปัจจุบันมีจำนวนเมืองขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นกว่าในสมัยก่อน โดยตอนนี้มีจำนวนเมืองใหญ่เกือบ 50 เมือง ที่มีประชากรมากกว่า 10 ล้านคน ซึ่งนี่คือเทรนด์ที่เรียกว่า Urbanization โดยผู้คนจำนวนมากอพยพมาอยู่ในเมืองใหญ่ โลกของเราจะแบกรับผู้คนมากขึ้น เกิดปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม สภาวะอากาศ มลภาวะ ขยะล้นเมือง มีผลสำรวจออกมาว่า 9 ใน 10 คน ต้องสูดดมอากาศไม่ดีอยู่ตลอดเวลา
สิ่งสำคัญต่อมาคือผู้คนในยุคนี้เกิดความเครียดกันมากขึ้น ทั้งจากสภาพแวดล้อม การทำงาน ความคาดหวังรวมไปถึงการดูแลสุขภาพที่เรียกว่า Wellness โดยทุกคนอาจมองว่า Wellness คือหนทางที่จะนำพวกเราไปสู่ความสุข ไม่ว่าจะเป็นการเล่นโยคะ การรับประทานอาหารดีๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอแต่ความจริงแล้ว Wellness นั้นกลับทำให้คนยุคใหม่เครียดไปกว่าเดิม เพราะเหมือนเราต้องแบกรับภาระหน้าที่ที่เพิ่มขึ้น จนในที่สุดก็เกิดเป็นเทรนด์ต่อไปที่เรียกว่า Burnout
- Burnout
ผู้บริโภคในยุคนี้มีความเครียดเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการจึงควรมองหาโอกาสจากตรงนี้ในการสร้างประโยชน์ให้แก่ธุรกิจและจะทำอย่างไรให้องค์กรของเราปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่ผู้คนกำลังเคร่งเครียด เช่น HP ที่เริ่มเปิดโอกาสให้คนสามารถทำงานที่บ้านหรือว่าลายาวได้มากสุดถึง 26 สัปดาห์ หากว่าพวกเขามีลูก เพราะเข้าใจดีว่าพนักงานโดยเฉพาะผู้หญิงต้องสวมหมวกหลายใบ นอกจากนี้ ยังมี Starbucks ที่เริ่มดูแลพนักงานด้วยการรักษาปัญหาสุขภาพด้านจิตใจให้แก่พนักงานของตัวเอง เป็นต้น
ทั้งนี้ผู้บริโภคยุคใหม่เต็มไปด้วยความเครียดและตารางแน่นในแต่ละวันอยู่แล้ว สิ่งที่ผู้ประกอบการควรคิดคือทำอย่างไรให้เราสามารถแทรกซึมและฝังลงไปในชีวิตของพวกเขาได้โดยไม่ไปเพิ่มภาระให้มากไปกว่าเดิม เช่น รถไฟฟ้าที่ประเทศสวีเดน มีการใช้ AI มาวิเคราะห์ผู้คนที่เดินผ่านไปมาว่าใครทำหน้าเครียด ใครมีความสุข ใครง่วงแล้วแต่ละเสาในรถไฟฟ้าก็จะมีการแสดงงานศิลปะเปลี่ยนไปตามอารมณ์ของคนที่เดินผ่าน หรือจะเป็น Public Punching Bags ที่นิวยอร์ก ซึ่งเป็นพื้นที่ให้คนเดินผ่านไปผ่านมาได้ปลดปล่อยความเครียดด้วยการต่อยลงไปบนผนังนุ่มนิ่มสีเหลือง เป็นต้น
- The Experience Economy
ผู้คนในยุคใหม่นั้นให้ความสำคัญกับประสบการณ์มากขึ้น มีผลสำรวจว่าชาวมิลเลนเนียลถึง 78 เปอร์เซ็นต์เลือกใช้เงินไปกับการซื้อประสบการณ์มากกว่าสิ่งของ เช่น ร้านอาหารของ Mastercard ที่จะสร้างประสบการณ์สุดว้าวให้ผู้บริโภคด้วยร้านอาหารที่จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนของเชฟระดับ Michelin Star รวมถึงเปลี่ยนธีมและการนำเสนอทุกอาทิตย์เพื่อความไม่จำเจ หรือจะเป็นแบรนด์สุดเรียบอย่าง Muji ที่ต้องการเข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่ให้ได้เข้ามาสัมผัสความเป็น Muji ที่นอกเหนือจากร้านค้าปลีกด้วยการเปิดโรงแรม MUJI HOTEL
นี่คือ ตัวอย่างที่สะท้อนว่า สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทำในวันนี้คือการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ นอกเหนือจากที่เคยทำมาให้ได้
แน่นอนว่า อนาคตของโลกใบนี้หรืออนาคตของธุรกิจคงจะชี้ชัดเพียงแค่ 4 บิ๊กเทรนด์นี้ไม่ได้ แต่ยังต้องอาศัยตัวผู้ประกอบการเองในการเป็นผู้ชี้ชะตาอนาคตตัวเอง ถ้าอยากประสบความสำเร็จก็ต้องเริ่มจากการลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงโดยใช้เทรนด์เหล่านี้เป็นตัวช่วยในการคาดเดาพฤติกรรมลูกค้าและวางกลยุทธ์ในธุรกิจ แต่จะสำเร็จหรือไม่นั้น ถ้าหากไม่ลุกขึ้นมาทำก็คงไม่มีวันรู้!
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี