Main Idea
- ประเทศจีนเปรียบเหมือนจุดหมายปลายทางในฝันของผู้ประกอบการไทยหลายคน ด้วยจำนวนประชากรมากกว่า 1,000 ล้านคนของแดนมังกร คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเม็ดเงินมหาศาลกำลังลอยวนเวียนอยู่ในตลาดนี้และรอให้คุณก้าวไปคว้าไว้!
- และหากคุณอยากปั้นแบรนด์ในประเทศจีนให้ประสบความสำเร็จ ต้องทำความรู้จักกับอาวุธเด็ดอย่าง ‘Social Commerce’ และ ‘Influencers Marketing’
ด้วยจำนวนประชากรมากกว่า 1,000 ล้านคนของแดนมังกร คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเม็ดเงินมหาศาลกำลังลอยวนเวียนอยู่ในตลาดนี้และรอให้คุณก้าวไปคว้าไว้! แต่เป็นเพราะอุปสรรคด้านภาษา ความกล้าๆ กลัวๆ ไปจนถึงความไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรจึงทำให้ผู้ประกอบการไทยถอดใจ ไม่ยอมส่งแบรนด์ตัวเองไปตลาดนี้สักที ทุกวินาทีที่คุณคิด คุณอาจกำลังเสียโอกาสไปแล้วแบบไม่รู้ตัว
หนึ่งในบริษัทผู้ให้บริการด้าน Digital Marketing ในจีนของประเทศไทยอย่าง บริษัท เอวีจี ไทยแลนด์ จำกัด (AVG) ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์การทำตลาดครบวงจรในจีนได้ให้ข้อมูลการปั้นแบรนด์ในแดนมังกรให้ประสบความสำเร็จยุคนี้ต้องมองเรื่อง ‘Influencers Marketing’ และ ‘Social Commerce’ นอกจากนี้ยังต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อม
- 3 สิ่งต้องพร้อมก่อนบุกตลาดจีน
1.จด Trademark ที่ประเทศจีนให้เรียบร้อยก่อนทำธุรกิจ
หลายครั้งที่ธุรกิจไทยไปทำตลาดก่อน แต่ยังไม่จดเครื่องหมายการค้า (Trademark) ที่ประเทศจีนเพราะคิดว่าสินค้าเรายังไม่ดัง จนเมื่อถึงเวลาที่จะไปจดจริงๆ ปรากฏว่าโดนคนจีนนำรูปสินค้าไปจดเครื่องหมายการค้าเรียบร้อยแล้ว
2.การทำโซเชียลต้องขอเปิด Account ให้เป็น VG
สำหรับเมืองไทยการเปิด Account ออนไลน์ อย่างเฟซบุ๊กของแบรนด์ที่เป็นทางการจะใช้คำว่า Official แต่ที่ประเทศจีนคำนี้ไม่มีความหมายเพราะจะตั้งชื่ออย่างไรก็ได้ คนที่จะไปทำธุรกิจจึงต้องขอเปิด Account ให้เป็น VG หรือเป็นเครื่องหมาย Verify ความน่าเชื่อถือ
3.ตกลงกับ Distributor ให้เรียบร้อย
ก่อนที่จะนำสินค้าของเราเข้าไปจำหน่าย ต้องมีการพูดคุยให้ตัวแทนจำหน่าย (Distributor) ช่วยเรื่องการทำตลาด ส่วน Plan หลักที่เป็นแบรนด์ดิ้ง ภาพลักษณ์และสิ่งที่บอกว่าสินค้าเราคืออะไร ให้เจ้าของแบรนด์ดูแลเอง นอกจากนี้แผนการตลาดที่ประเทศจีนจำเป็นต้องมีการปรับให้ทันเหตุการณ์ในทุกๆ 3 เดือนด้วย
- เจาะกลุ่มลูกค้าจีนผ่าน Influencer Marketing
ชฎากร ธนสุวรรณเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอวีจี ไทยแลนด์ จำกัด ได้พูดถึงเรื่องของ Influencer Marketing ที่กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในกลยุทธ์ทางการตลาดประเทศจีน เพราะจากข้อมูลของฟรอสต์และซูลิแวนได้แสดงให้เห็นถึงยอดขายที่เกิดจาก Influencer คนจีนที่สูงถึง 32.9 พันล้านหยวนหรือ4.9 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2560 และคาดว่าจะสร้างอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่มั่นคงได้ถึง 40.4 เปอร์เซ็นต์ได้ในอีก 5 ปีข้างหน้าและ 80 เปอร์เซ็นต์ของแฟนคลับที่ติดตาม Influencer นั้นเป็นกลุ่ม Millennials หรือคนที่เกิดระหว่างปี ค.ศ. 1981-1996 (อายุ 23-38 ปี) ซึ่งคนกลุ่มนี้มีกำลังซื้อสูงที่สุดในประเทศจีน นี่คือเหตุผลว่าทำไมกลยุทธ์นี้จึงสามารถพาแบรนด์ของคุณให้สำเร็จในแดนมังกรได้
“การวางกลยุทธ์การตลาดในประเทศจีนของ AVG Thailand จะไม่ใช่เพียงการเลือก Influencer ที่มีแฟนๆ มากมายเพียงอย่างเดียว แต่ AVG จะเลือก Influencer ที่ตรงกับกลยุทธ์ที่วางแผนไว้ ด้วยการสร้างแรงจูงใจให้ Influencer กับแบรนด์หรือสินค้านั้นๆ เพื่อสร้างสรรค์คอนเทนต์ในรูปแบบของพวกเขาเองแทนการยัดเยียดข้อมูลอย่างจงใจ AVG มักจะเลือกที่จะทำงานร่วมกับ Influencer ที่มีประสบการณ์และรู้ดีว่าคอนเทนต์ประเภทไหนที่จะดึงดูดและจะได้รับการตอบรับจากผู้ติดตามของพวกเขาดีที่สุด” ชฎากรกล่าว
- จาก Influencer สู่การขาย Social Commerce
นอกจากเรื่องของ Influencer Marketing จะมาแรงแล้ว สิ่งที่ตามมานั้นคือ Social Commerce เป็นการต่อยอดจาก Influencer marketing กลยุทธ์นี้จะช่วยสร้างการรับรู้ให้แก่แบรนด์ โดย Social Commerce เป็นการตลาดที่ผสมผสานระหว่าง Social media และ e-commerce เพื่อสร้างความต้องการให้กับสินค้า
ยกตัวอย่างเช่น สาวจีนที่ค้นหาชุดใหม่สำหรับออกเดท เธอพบเสื้อผ้าแฟชั่นมากมายบน Taobao e-commerce platform ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน แต่เลือกไม่ถูกว่าจะซื้อชุดไหนดี ในขณะที่ influencer ที่เธอติดตามบน Weibo review 10 look แต่งหน้าและแฟชั่น สำหรับ Summer นี้ มาพร้อมคูปองส่วนลดไปยังร้านค้าออนไลน์ ซึ่งแบบหลังนี้จะทำให้มีโอกาสสูงมากที่เธอจะซื้อทั้งกระโปรงสีแดงที่ Influencer สวมใส่ รวมทั้งเครื่องสำอางที่ Influencer แนะนำว่าต้องมี
ปัจจุบันประเทศจีนมี Mobile Application เพื่อ Social Commerce มากมาย เช่น Red Book และ Pinduoduo นอกจาก Influencer แล้ว คำว่า Social ในที่นี้ยังรวมถึง Social Media Group เช่น WeChat Group
สำหรับสินค้าไทยยอดนิยม จากข้อมูลของ Tmall แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ B2C ที่ใหญ่ที่สุดในจีน และ Taobao แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ C2C ที่ใหญ่ที่สุดในจีน แสดงตัวเลขในเดือน พฤษภาคม 2019 ว่า สินค้าจากเมืองไทยที่ขายดีที่สุด ได้แก่ สินค้าในกลุ่มสกินแคร์ & เครื่องสำอาง, ผลไม้อบแห้ง และ ข้าว มีมูลค่าการซื้อขายโดยรวมประมาณ 2 ล้านครั้ง/เดือน
โดยชฎากรได้แนะนำถึงธุรกิจไทยควรปรับตัวอย่างไรในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวอันเนื่องจากข้อพิพาทจีน-สหรัฐ ในช่วงนี้ คือ ผู้ประกอบการควรมองหาโอกาสทางธุรกิจในเมืองกลุ่ม “New Tier One” หรือเมืองที่มีศักยภาพการเติบโตที่ก้าวขึ้นไปอยู่กลุ่มเมืองที่เจริญแล้ว (Tier One) ในจีน รวมทั้งควรศึกษาเรื่องข้อได้เปรียบที่ได้จากข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียนจีน (ACFTA) เนื่องจากในปี 2561 มีสินค้าไทยทั้งหมดที่ส่งออกไปจีนเพียงร้อยละ 68.4 เปอร์เซ็นต์ ที่ได้รับอานิสงค์จากข้อตกลงนี้ จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศจีนเพื่อปกป้องสิทธิของเจ้าของแบรนด์ไทยและเลือกช่องทางในการทำ Digital Marketing ให้ถูกทางที่เหมาะสมกับงบประมาณและเจาะได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี