Main Idea
- ในขณะที่เราเข้าใจเสมอมาว่า Like - Share – Comment คือ สิ่งจำเป็นสำหรับการทำตลาดออนไลน์
- แต่เคยคิดสงสัยกันไหมว่า ทำไมบางครั้งแม้จะได้ยอดไลค์ ยอดแชร์ คอมเมนต์มาเยอะแยะ แต่ทำไมยอดขายสินค้ากลับไม่กระเตื้องขึ้นเท่าไรเลย
- ต่อไปนี้ คือ ข้อเท็จจริงที่สารภาพโดย Facebook โซเซียลมีเดียที่มีผู้เล่นสูงสุดของเมืองไทย
ในยุคหนึ่งเรามักถูกบอกว่า หากอยากทำการตลาดออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะบนเฟซบุ๊ก โซเซียลมีเดียที่มีผู้เล่นมากเป็นอันดับหนึ่งของเมืองไทย การได้ยอดไลค์ ยอดแชร์เยอะๆ มีคนเข้ามาคอมเมนต์มากเท่าไหร่ ธุรกิจก็จะประสบความสำเร็จ และเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นเท่านั้น จนหลายคนถึงขั้นนำไปตั้งเป็นเป้าหมายของธุรกิจ เพื่อเพิ่มยอดไลค์ยอดแชร์ให้มากขึ้น แต่จริงๆ แล้วแชร์เยอะ ไลค์แยะ จะช่วยเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจได้มากขึ้นหรือเรากำลังหลงทางอยู่กันแน่!
ไลค์ หรือ ไม่ไลค์ ไม่ได้เท่ากับ ซื้อ หรือ ไม่ซื้อ
ลองคิดภาพตามง่ายๆ ในแต่ละวันที่คุณเลือกซื้อสินค้าไปมากมาย ทั้ง น้ำเปล่า น้ำอัดลม ขนมปัง นม ฯลฯ คุณได้ไปตามกดไลค์เพจของแบรนด์เหล่านั้นหรือเปล่า แน่นอนคำตอบของหลายคนคือ “ไม่” และนี่แหละ คือ หนึ่งเหตุผลที่บอกเราว่าการจะเลือกซื้อสินค้าของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งนั้น จริงๆ แล้วเราอาจไม่ต้องเข้าไปกดไลค์ถูกใจ หรือแชร์โพสต์อะไรก็ได้ เพราะปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อสินค้าต่างๆ ไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น
เมื่อเร็วๆ นี้เฟซบุ๊กได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลถึงพฤติกรรมผู้เล่นเฟซบุ๊กในเมืองไทยว่าสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ 1.คนที่กดไลค์ กดแชร์ และคอมเมนต์ทุกอย่าง 2.คนที่ไม่ไลค์ ไม่แชร์ และไม่คอมเมนต์ใดๆ เลย แต่สนใจที่จะเข้ามาอ่านข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งของเพื่อนและความเป็นไปที่เกิดขึ้นของสังคม
จากการสำรวจของเฟซบุ๊กพบว่าบุคคลในกลุ่มหลัง คือ ผู้เล่นเฟซบุ๊กที่มีจำนวนมากในปัจจุบันนี้ ในขณะที่กลุ่มคนประเภทแรกชอบกดไลค์ กดแชร์ คอมเมนต์ทุกอย่าง กลับลดน้อยลงทุกที เหลืออยู่เพียงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของผู้เล่นเฟซบุ๊กทั้งหมดในเมืองไทย
ซึ่งปกติเวลาที่เรายิงแอดโฆษณาเข้าไป สิ่งที่เฟซบุ๊กทำ คือ การวิ่งไปหาผู้ที่ชอบกดไลค์ คอมเมนต์ และแชร์เหล่านั้น ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่ากลุ่มคนที่เราจะได้มาจากการบูทโพสต์โฆษณานั้น คือ กลุ่มคนที่มีอยู่เหลือเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ของผู้เล่นเฟซบุ๊กในเมืองไทยเท่านั้น ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะซื้อหรือไม่ซื้อสินค้าของเราหรือเปล่า
ฉะนั้นไลค์ คอมเมนต์ และแชร์ในวันนี้ จึงไม่ใช่เครื่องการันตีหรือตัวแปรที่จะบอกได้ว่าหากมีคนเข้ามากดไลค์ กดแชร์เยอะๆ แล้วสินค้าของคุณจะขายได้ดีมากขึ้น
พุ่งเป้าเล็งให้ตรงจุด ยอดขายเพิ่มแน่นอน
จากที่กล่าวมานี้ ไม่ได้หมายความว่ายอดไลค์ แชร์ และคอมเมนต์ จะหมดความสำคัญลงไปซะทีเดียว การนำข้อมูลเหล่านั้นมาคิดวิเคราะห์ เพื่อค้นหาความรู้สึก ความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ ก็ยังสามารถทำได้ เพียงแต่อย่านำมาเป็นเป้าหมายหลักของธุรกิจ เพื่อคาดหวังว่าหากได้ยอดไลค์ ยอดแชร์ คนเข้ามาคอมเมนต์เยอะๆ แล้วจะช่วยให้ธุรกิจขายดีได้มากขึ้น เพราะนั่นอาจทำให้คุณไม่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ หรือกำลังเล็งผิดเป้าอยู่นั่นเอง
ซึ่งความจริงแล้วในฟีเจอร์สำหรับการโฆษณาของเฟซบุ๊ก ยังมีจุดที่น่าสนใจอยู่หลายตัวด้วยกัน อาทิ Brand Awareness เพื่อเน้นสร้างการรับรู้ให้กลุ่มเป้าหมายที่เรากำหนด เพื่อให้ได้รู้จักสินค้าหรือแบรนด์ให้มากขึ้น ยิ่งเห็นบ่อย ยิ่งผ่านตามากขึ้น ก็ยิ่งเกิดการจดจำและสร้างการรับรู้ของแบรนด์ขึ้นมาได้ เราไม่สามารถบังคับใครให้เข้ามากดไลค์ กดแชร์ หรือคอมเมนต์ได้ แต่เราสามารถที่จะทำให้เขาหยุดและตั้งใจดูในสิ่งที่เราอยากนำเสนอได้ หากสิ่งนั้นตรงกับความต้องการ และช่วยแก้ปัญหาในสิ่งที่เขากำลังต้องการได้พอดี
อีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจ คือ Click-to-Messenger โฆษณารูปแบบใหม่ที่คลิกแล้ว สามารถวิ่งไปโผล่ที่ Messenger ได้เลย หน้าตาของเจ้าฟีเจอร์ตัวนี้นอกจากโชว์หน้าเพจสินค้าแล้ว จะมีปุ่มด้านล่างเขียนไว้ว่า Lean more หรือ Send Message หากมีคนสนใจก็สามารถกดคลิกเข้าไปคุยกับทางร้านต่อได้เลยในแมสเซนเจอร์
ถึงบรรทัดนี้คงพอช่วยให้หลายคนเข้าใจบทบาทของไลค์ แชร์ และคอมเมนต์ได้มากยิ่งขึ้นว่าความจริงแล้วไม่ได้เป็นทุกอย่างของธุรกิจ หรือสิ่งที่จะมาการันตียอดขาย แต่คือสิ่งที่ช่วยให้เขาสามารถเข้าใจลูกค้า และธุรกิจได้มากขึ้นนั่นเอง
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี